พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งความรู้
เพราะเกิดจากพระปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นบรมศาสดา
องค์สำคัญยิ่งพระองค์หนึ่งของโลก พระพุทธเจ้านั้น
เป็นพระโอรสของพระพระเจ้าสุทโธทนะ และพระนางมหามายา
มีประวัติความเป็นมาปรากฏตาม หลักฐานทางประวัติศาสตร์อย่างชัดแจ้ง
พระประวัติของพระพุทธองค์นั้นพึงทราบ
โดยสังเขปดังต่อไปนี้
ชาติภูมิ ทางภาคเหนือสุดของชมพูทวีป (อินเดียโบราณ)
มีรัฐที่อุดมสมบูรณ์รัฐหนึ่งชื่อ “สักกะ” หรือ “สักกชนบท”
ตั้งอยู่ในลุ่มน้ำโรหิณี ซึ่งปัจจุบันนี้อยู่ในประเทศเนปาล กรุงกบิลพัสดุ์เป็นเมืองหลวงของรัฐนี้
กษัตริย์ศากยวงศ์ทรงปกครองรัฐนี้สืบต่อกันมาโดยลำดับ จนถึงรัชสมัยของพระเจ้าสีหนุ
ซึ่งมีพระนางกัญจนาเป็นพระอัครมเหสี ต่อมา พระเจ้าสีหนุได้ทรง
จัดให้พระราชโอรสองค์ใหญ่พระนามว่า สุทโธทนะ
ได้อภิเษกสมรสกับพระนางมหามายา พระราชธิดาของพระเจ้าอัญชนะ
และพระนางยโสธราอัครมเหสีแห่งกรุงเทวะทหะ
โดยทรงประกอบพระราชพิธีขึ้น ณ อโศกอุทยาน กรุงกบิลพัสดุ์
เมื่อพระเจ้าสีหนุสวรรคตแล้ว พระเจ้าสุทโธทนะก็ได้เสวยราชสมบัติสืบพระวงศ์ต่อมา
ประสูติ เมื่อก่อนพุทธศักราช ๘๑ ปี พระนางมหามายาอัครมเหสีของพระเจ้าสุทโธทนะ
แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ ทรงพระสุบินว่า ลูกช้างเผือกเชือกหนึ่ง เข้าสู่พระครรภ์ของพระนาง
หลังจากนั้นไม่นานนักพระนางก็ทรงพระครรภ์ เมื่อพระครรภ์แก่จวนครบทศมาสแล้ว
พระนางมหามายาทรงมีพระประสงค์เสด็จกลับไปประทับที่กรุงเทวะทหะชั่วคราว
เพื่อประสูติพระโอรสในราชตระกูลของพระนางตามประเพณี
ถึงวันเพ็ญเดือนวิสาขะ (ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ก่อนพุทธศักราช ๘๐ ปี)
พระนางก็เสด็จออกจากกรุงกบิลพัสดุ์ พร้อมด้วยราชบริวารแต่เวลาเช้า
พอใกล้เที่ยงวันก็เสด็จถึงลุมพินีวันราชอุทยานอันตั้งอยู่กึ่งทางระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์กับกรุงเทวะทหะ
จึงเสด็จแวะเข้าไปพักผ่อนที่ใต้ต้นสาละ ทันทีนั้นพระนางก็ประชวรพระครรภ์
และประสูติพระโอรส (พระพุทธเจ้า) ความทราบถึงพระเจ้าสุทโธทนะ
ก็โปรดให้รับพระนางพร้อมด้วยพระโอรสเสด็จกลับสู่กรุงกบิลพัสดุ์
หลังจากประสูติแล้ว ๕ วัน
ได้มีการประกอบพระราชพิธีมงคลเฉลิมพระนามพระราชโอรสว่า “สิทธัตถกุมาร”
ในพระราชพิธีนี้ได้เชิญพราหมณ์ ๑๐๘ คน เข้ามาฉันอาหารในพระราชวัง
และให้มีการทำนายพระลักษณะของเจ้าชายสิทธัตถะ ตามธรรมเนียมด้วย
คณะพราหมณ์เหล่านั้น เมื่อตรวจดูพระลักษณะถี่ถ้วนแล้ว
ส่วนมากได้ร่วมกันทำนายพระลักษณะว่ามีคติเป็น ๒ อย่าง คือ
ถ้าเจ้าชายสิทธัตถะนี้อยู่ครองราชย์สมบัติก็จักได้เป็นจักรพรรดิ
แต่ถ้าเสด็จออกทรงผนวช ก็จักได้เป็นพระพุทธเจ้าผู้เป็นศาสดาเอกของโลก
แต่มีพราหมณ์หนุ่มคนหนึ่งในคณะพราหมณ์เหล่านั้นชื่อ “โกณฑัญญะ”
ได้ทำนายพระลักษณะยืนยันว่ามีคติเพียงอย่างเดียว โดยทำนายว่า เจ้าชาย สิทธัตถะ
นี้จะต้องเสด็จออกผนวช และจะต้องได้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน
ครั้นถึงวันที่ ๗ นับแต่วันประสูติ พระนางมหามายาพระราชชนนีก็เสด็จสวรรคต
เจ้าชายสิทธัตถะจึงอยู่ในความอภิบาลของพระนางปชาบดีโคตมี ผู้เป็นพระมาตุจฉา (พระน้านาง)
ของพระองค์ ซึ่งได้ทรงเป็นพระมเหสีของพระเจ้าสุทโธทนะสืบต่อมา
ทรงศึกษาและอภิเษกสมรส
เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงเจริญวัยแล้วก็ทรงได้รับการศึกษาศิลปะวิทยาการต่างๆ
ตามแบบกษัตริย์ในสมัยนั้น โดยพระราชบิดาได้ทรงมอบให้ครูวิศวามิตร ผู้มีชื่อเสียงที่สุดในเวลานั้น
เป็นผู้รับภาระถวายการศึกษาอบรมเจ้าชายสิทธัตถะ ทรงมีพระปรีชาเฉลียวฉลาดยิ่ง
สามารถจบการศึกษาอบรมแต่เมื่อมี พระชนม์เพียง ๑๕ พรรษา
นำความปรีดาปราโมทย์มาสู่พระราชบิดา
พระประยูรญาติ พระอาจารย์เป็นอย่างยิ่ง เมื่อพระชนม์เพียง ๑๖ พรรษา
ได้ทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงพิมพา หรือ ยโสธรา
พระราชธิดาพระเจ้าสุปพุทธะกษัตริย์โกลิยวงศ์แห่งกรุงเทวะทหะ
พระราชพิธีได้จัดขึ้น ณ กรุงกบิลพัสดุ์ท่ามกลางพระประยูรญาติทั้ง ๒ ฝ่าย
ภายหลังจากการอภิเษกสมรส ได้ทรงดำรงพระยศเป็นรัชทายาท แห่งกรุงกบิลพัสดุ์
พระราชบิดาทรงสร้างปราสาทใหม่ให้ประทับ ๓ หลัง เพื่อทรงสำราญตลอด ๓ ฤดูกาล
ทรงเพียบพร้อมด้วยโลกิยสุขอยู่จนพระชนมายุได้ ๒๙ พรรษา
และพระนางพิมพาพระวรชายา ก็ทรงพระครรภ์ในปีนั้น
ทรงผนวช ในปีที่ทรงพระชนมายุได้ ๒๙ พรรษานั้นเอง
เจ้าชายสิทธัตถะผู้เป็นรัชทายาทได้เสด็จประพาส พระราชอุทยาน ๔ ครั้ง
ได้ทอดพระเนตรเห็น คนแก่ คนเจ็บไข้ คนตาย และสมณะ ตามลำดับ ในการเสด็จประพาส ๓ ครั้ง
พระองค์ทรงสลดพระทัยในความทุกข์ยาก และความไม่เที่ยงแท้ ความผันแปรของชีวิต
ในครั้งที่ ๔ อันเป็นครั้งสุดท้ายนั้นเอง พระองค์ทรงทราบว่าพระนางพิมพา พระวรชายาของพระองค์ ได้ประสูติพระโอรส และทรงตัดสินพระทัยเสด็จออกทรงผนวชในคืนวันนั้นโดยทรงม้ากัณฐกะ
มีนายฉันนะเป็นผู้ตามเสด็จ บ่ายพระพักตร์สู่แคว้นมคธตอนใต้ พอเวลาใกล้รุ่งก็เสด็จถึงแม่น้ำอโนมา
เข้าสู่ฝั่งของแคว้นมัลละพรมแดนแห่ง สักกะกับแคว้นมัลละ เสด็จข้ามแม่น้ำอโนมาเข้าสู่ฝั่ง
ของแคว้นมัลละประทับยับยั้งอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำนั้น ทรงตัดพระเมาลีของพระองค์ด้วยพระขรรค์
แล้วทรงอธิฐานเพศบรรพชิตทรงผนวชเป็นสมณะ ณ ฝั่งแม่น้ำนั้น อยู่ที่ฝั่งแม่น้ำนั้น
แล้วตรัสสั่งนายฉันนะ ให้นำม้ากัณฐกะ และเครื่องทรงกลับกบิลพัสดุ์นับแต่รุ่งอรุณวันนั้นเป็นต้นมา
พระสิทธัตถะก็เสด็จแรมอยู่ที่อนุปิยอัมพวัน แคว้นมัลละแต่พระองค์เดียวชั่วเวลาราว ๗ วัน
ทรงแสวงหาโมกขธรรม และทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา
ต่อมาพระสิทธัตถะได้เสด็จออกจากอนุปิยอัมพวัน แคว้นมัลละ แล้วไปยังที่ต่างๆ
จนถึงเขตกรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ เพื่อแสวงหาโมกขธรรม (ความพ้นทุกข์)
ครั้งเสด็จเข้าไปอบรมศึกษาในสำนัก อาฬารดาบส กาลามโคตรและสำนัก อุทกดาบส รามบุตร
ทรงเห็นว่าลัทธิของ ๒ สำนัก นั้นไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ได้ จึงทรงอำลาจากสำนักดาบสทั้งสองนั้น
เสด็จจารึกแสวงหา โมกขธรรมต่อไปจนถึงตำบลอุรุเวลาเสนานิคม อันมีแม่น้ำเนรัญชราไหลผ่าน
ได้ประทับอยู่ในป่า ณ ตำบลนี้ทรงเริ่มบำเพ็ญทุกรกิริยา โดยประการต่างๆ อย่างเคร่งครัด
แต่ก็ไม่ทรงพบทางพ้นทุกข์ได้ ในเวลานั้นพวกปัญจวัคคีย์ คือ ภิกษุ ๕ รูป อันได้แก่
โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และอัสสชิ มีความเลื่อมใสใน พระสิทธัตถะ
ด้วยเชื่อว่าพระองค์ จะได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า จึงได้พากันมาเฝ้าปฏิบัติพระองค์ด้วย ความเคารพ
ตรัสรู้ นับแต่ปีที่ทรงผนวชถึงปีที่ได้ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาอย่างเคร่งครัดนั้น เป็นเวลา ๖ ปี
แล้วพระสิทธัตถะทรงแน่พระทัยว่าการบำเพ็ญทุกรกิริยานั้นไม่ใช่ทางพ้นทุกข์แน่
และประกอบกับเวลานั้นท้าวสักกะได้เสด็จมาเฝ้า ทรงดีดพิณ ๓ สายถวาย คือ
สายหนึ่งตึงเกินไปมักขาด สายหนึ่งหย่อนเกินไปเสียงไม่เพราะ สายหนึ่งพอดีเสียงไพเราะยิ่ง
ทำให้พระสิทธัตถะแน่พระทัยยิ่งขึ้นว่า
การทำความเพียรเคร่งครัดเกินไปนั้นไม่ใช่ทางพ้นทุกข์อย่างแน่แท้
พระองค์จึงทรงเลิกบำเพ็ญทุกรกิริยา ทรงหันมาบำเพ็ญเพียรทางใจอันได้แก่ สมถะ (ความสงบ)
วิปัสสนา (ปัญญา) โดยทรงเริ่มเสวยพระกระยาหาร ตามปกติ พวกภิกษุปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕
เห็นดังนั้น จึงคลายศรัทธา เลิกเฝ้าปฏิบัติ แล้วพากันไปอยู่ป่าอิสิปตะมฤคทายวัน
แขวงเมืองพาราณสี เป็นเหตุให้พระองค์ประทับอยู่แต่พระองค์เดียว ทำให้ได้รับความวิเวกยิ่งขึ้น
ทรงเริ่มบำเพ็ญทางใจ ณ ภายใต้ต้นหว้าใหญ่ต้นหนึ่งครั้นอยู่ต่อมาถึงวันเพ็ญเดือนวิสาขะ เวลาเช้า
พระองค์เสด็จไปประทับที่โคนต้นไทรต้นหนึ่ง ใกล้แม่น้ำเนรัญชราเวลานั้นนางสุชาดา
ธิดาสาวของกฎุมพีนายบ้านเสนานิคม ตำบลอุรุเวลา ได้จัดข้าวมธุปายาสใส่ถาดทองคำ
นำไปบวงสรวงเทวดาที่ต้นไทรนั้นตามลัทธินิยมของตน
ครั้นเห็นพระสิทธัตถะประทับนั่งอยู่ก็เข้าใจว่าเป็นเทวดา จึงน้อมถวายข้าวมธุปายาสพร้อมทั้ง
ถาดทองคำ แล้วหลีกไป พระสิทธัตถะทรงรับข้าวมธุปายาสแล้วเสด็จไปยังแม่น้ำเนรัญชรา
ทรงสรงสนานพระวรกาย แล้วเสวยข้าวมธุปายาส แล้วทรงลอยถาดลงในกระแสแม่น้ำเนรัญชรา
ครั้นแล้วจึงเสด็จไปประทับในดงไม้สาละใกล้ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรานั้น ครั้นย่างเข้ายามเย็น
พระสิทธัตถะก็เสด็จจากป่าสาละไปยังต้นอัสสัตถพฤกษ์(มหาโพธิ์)ต้นหนึ่งซึ่งอยู่ริมฝั่งที่โค้งแม่น้ำ
เนรัญชราฝั่งตะวันตก ระหว่างทางทรงรับฟ่อนหญ้าคาที่คนหาบหญ้าขาย
ชื่อ โสตถิยะน้อมถวาย ๘ ฟ่อน ทรงนำไปปูลาดเป็นบัลลังก์ที่ควงไม้มหาโพธิ์นั้น
แล้วประทับลงบนบัลลังก์นั้นผินพระพักต์ ไปทางทิศตะวันออก ทางแม่น้ำเนรัญชรา
ทรงบำเพ็ญเพียรทางใจคือ ทรงเจริญสมถะและวิปัสสนา ได้บรรลุพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ
สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าในยามสุดท้ายแห่งวันเพ็ญเดือนวิสาขะ ก่อนพุทธศักราช ๔๕ ปี
ครั้นตรัสรู้แล้ว พระองค์ได้ประทับเสวยวิมุติสุขอยู่ ๗ สัปดาห์ ในสถานที่ทั้ง ๗ แห่ง
แห่งละสัปดาห์คือ ที่ต้นมหาโพธิ์ ที่อนิมิสเจดีย์ ที่รัตนจงกรมเจดีย์ ที่รัตนฆรเจดีย์
ที่ต้นอชปาลนิโครธ ที่ต้นมุจลินท์ (ต้นจิก) และที่ต้นราชาตนะ (ต้นเกด) ตามลำดับ
ในสัปดาห์ที่ ๕ ระหว่างเวลาที่ประทับอยู่ที่ต้นอชาปาลนิโครธนั้น
พระพุทธองค์ทรงแก้ปัญหาพราหมณ์ผู้หนึ่งซึ่งทูลถามปัญหาเรื่องความเป็นพราหมณ์
และมีพระธิดาพญามารทั้ง ๓ คือ นางตัญหา นางราคา และนางจรดี ได้มาทำการยั่วยวนพระองค์ให้
ทรงหันไปลุ่มหลงในทางโลก แต่ไม่เป็นผล ในสัปดาห์ที่ ๖ ระหว่างแวะประทับอยู่ที่ต้นมุจลินท์นั้น
มีฝนตกตลอดสัปดาห์ พญานาค ชื่อ มุจลินท์ได้มาถวายอารักขา ป้องกันพระองค์มิให้เปียกฝน
และมิให้กระทบลมหนาว ในสัปดาห์ที่ ๗ ระหว่างเวลาที่ประทับอยู่ใต้ต้นราชายตนะนั้น
มีพ่อค้า ๒ คน คือ ตะปุสสะ กับ ภัลลิกะ ได้ถวายข้าวสัตถุก้อนละสัตถุผงแก่พระพุทธองค์
และมีความเลื่อมใสได้ประกาศตนเป็นอุบาสก ถือพระพุทธกับพระธรรมเป็นสรณะ
นับเป็นอุบาสกคู่แรกในพระพุทธศาสนา
ทรงแสดงปฐมเทศนา และได้เป็นปฐมสาวก
ครั้นต่อมาถึงตอนเย็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนอาสาฬหะ (เดือน๘) พระพุทธองค์ได้เสด็จจาก
ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ถึงป่าอิสิปตนะมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี
ในวันรุ่งขึ้นอันเป็นวันเพ็ญเดือนอาสาฬหะ ได้ทรงแสดงพระปฐมเทศนา คือ
พระธรรมจักรกัปปวัตนะสูตร โปรดภิกษุปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ อันเป็นเทศนากัณฑ์แรกในพระพุทธศาสนา
เมื่อจบเทศนาแล้ว ท่านโกณฑัญญะ (อัญญาโกณฑัญญะ) ได้ธรรมจักษุ คือได้ดวงตาเห็นธรรม
อันได้แก่การได้บรรลุพระโสดาปัตติผล และได้ขออุปสัมปทา นับเป็นพระสงฆ์สาวกองค์แรก
ในพระพุทธศาสนา ต่อแต่นั้นมาก็ทรงสั่งสอนท่านทั้ง ๔ จนได้บรรลุโสดาปัตติผล
และได้อุปสมบทเป็นพระสงฆ์ด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทาทุกองค์ ต่อมาถึงวันแรม ๘ ค่ำ
เดือนสาวนะ (เดือน ๙) พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงอนัตตลักขณสูตรโปรดท่านทั้ง ๕
ในวันนั้นจึงนับเป็นพระอรหันต์เกิดขึ้นในโลก รวมทั้งพระพุทธองค์ด้วยเป็น ๖ องค์
ทรงโปรดชาวเมืองพาราณสี ต่อมา เมื่อประทับจำพรรษาอยู่ที่ป่าอิสิปตนะมฤคทายวัน
อันเป็นพรรษาแรกนั้นเอง พระพุทธองค์ก็ได้ทรงแสดงอนุปทาพิกถาโปรดกุลบุตรชื่อ “ยสะ”
ซึ่งเป็นบุตรเศรษฐีชาวเมืองพาราณสีให้ ได้บรรลุพระอรหันตผลสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ได้อุปสมบท
ด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทา นับเป็นอรหันต์องค์ที่ ๗ ในโลก ทั้งได้ทรงแสดงโปรดเศรษฐี
บิดาพระยสะให้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ได้ประกาศตนเป็นอุบาสกและนับเป็นอุบาสกคนแรก
ในพระพุทธศาสนาที่ถือพระรัตนตรัย เป็นสรณะ ทั้งได้โปรดมารดาและภรรยาของ ท่านยสะ
ให้เลื่อมใสได้ประกาศตนเป็นอุบาสิกา ซึ่งเป็นอุบาสิกาคู่แรกในพระพุทธศาสนาที่ถือพระรัตนตรัย
เป็นสรณะ ต่อแต่นั้นมา ๒-๓ วัน พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงธรรมโปรดบุตรเศรษฐีเมืองพาราณสี
ผู้เป็นสหายของท่านยสะทั้ง ๔ คน ชื่อ วิมละ สุพาหุ ปณณชิ และควัมปติ ให้สำเร็จเป็นพระอรหันต์
ได้อุปสมบทด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทา นับเป็นพระอรหันต์ในโลกจำนวน ๑๑ องค์ ต่อมาอีกไม่นาน
นักสหายของท่านยสะ ซึ่งเป็นชาวชนบทจำนวน ๕๐ คน ก็ได้บวชตามยสะ พระพุทธองค์ทรง
แสดงธรรมโปรดให้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้อุปสมบทด้วย เอหิภิกขุอุปสัมปทาทั่วทุกองค์
นับจำนวนพระอรหันต์ในโลกเพิ่มขึ้นเป็น ๖๑ องค์
ทรงส่งพระสาวกไปประกาศพระพุทธศาสนา เมื่อมีพระอรหันต์สาวกจำนวนมากถึง ๖๐ องค์
และเวลานั้นก็ได้สิ้นฤดูฝนแล้วพระพุทธองค์ทรงเห็นว่าเป็นโอกาสดี
สมควรส่งพระสาวกไปประกาศพระพุทธศาสนา แล้วจึงมี พระพุทธดำรัสสั่งพระอรหันต์สาวก
ให้ไปจาริกในที่ต่างๆ เพื่อประโยชน์สุขแก่ประชาชน โดยให้แยกย้ายกันไปมิให้ไปรวมกัน
ให้ไปแสดงธรรมประกาศพระพุทธศาสนาให้แพร่หลาย
ส่วนพระองค์เองก็จะเสด็จไปยังตำบลอุรุเวลา กรุงราชคฤห์ เพื่อประกาศพระพุทธศาสนาเช่นเดียวกัน
ทรงโปรดภัททวัคคีย์และชฎิล เมื่อทรงส่งพระสาวกออกจาริกไปแล้ว พระพุทธองค์จึงเสด็จไปยัง
ตำบลอุรุเวลา แต่เพียงพระองค์เดียว ระหว่างทางได้เสด็จแวะเข้าไปพักผ่อนที่ไร่ฝ้ายแห่งหนึ่ง
ณ ที่นี้ พระองค์ได้ทรงพบ ชายหนุ่มจำนวน ๓๐ คน เป็นสหายกันเรียกว่า ภัททวัคคีย์
ซึ่งได้พากันออกติดตามหาภรรยาของหนุ่มคนหนึ่งที่ได้ขโมยของหนีไป พระพุทธองค์จึงตรัสเตือนว่า
จะตามหาหญิงหรือหาตนเองดี แล้วทรงแสดงธรรมโปรดให้บรรลุมรรคผล ประทานเอหิภิกขุอุปสัมปทา
(คือการบวชให้ด้วยพระองค์เองด้วยการ ตรัสว่า จงมาเป็นภิกษุเถิด)
แล้วทรงส่งไปประกาศพระพุทธศาสนาทั้ง ๓๐ องค์ หลังจากที่ทรงโปรดพวกภัททวัคคีย์แล้ว
ตอนบ่ายวันนั้นพระพุทธองค์ก็เสด็จจากไร่ฝ้าย พอเวลาพลบค่ำก็เสด็จถึงตำบล อุรุเวลา
ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ณ ตำบลนี้พระองค์ได้ทรงโปรดชฎิล ๓ พี่น้อง ที่ตั้งอาศรมบำเพ็ญพรต
อยู่ที่ตำบลนี้คือ ชฎิลผู้พี่ใหญ่ ชื่ออุรุเวลากัสสป น้องคนกลางชื่อ นทีกัสสป
น้องคนเล็กชื่อ คยากัสสป คุมบริวาร (รวมทั้งตัวเองด้วย)คนละ ๕๐๐, ๓๐๐, และ ๒๐๐
โดยตั้งอาศรมอยู่ตอนเหนือแม่น้ำเนรัญชรา ที่คุ้งแม่น้ำตอนกลาง และที่คุ้งตอนใต้โดยลำดับ
โดยทรงแสดงอาทิตตปริยายสูตรโปรดเหล่านั้น ให้ได้บรรลุมรรคผล
สำเร็จเป็นพระอรหันต์ทั้ง ๑,๐๐๐ รูป ประทานเอหิภิกขุอุปสัมปทาทั่วทุกรูป
ทรงโปรดพระเจ้าพิมพิสารและทรงได้พระอัครสาวก
เมื่อทรงโปรดชฎิล ๓ พี่น้อง พร้อมทั้งบริวาร และทรงพักอยู่ที่ตำบลคยาสีสะ พอสมควรแล้ว
พระพุทธองค์ได้ทรงพาพระอรหันต์ผู้เป็นชฎิลจำนวน ๑,๐๐๐ รูปนั้น เสด็จไปยังกรุงราชคฤห์
นครหลวงแห่งแคว้นมคธ เสด็จเข้าประทับอยู่ที่สวนลัฏฐิวัน ใกล้พระราชวังพระเจ้าพิมพิสาร
พระเจ้าพิมพิสารทรงทราบข่าวนี้ ก็เสด็จไปเฝ้า พร้อมด้วยข้าราชบริพารและประชาชนจำนวนมาก
พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมโปรดให้ได้บรรลุธรรม และมีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา
พระเจ้าพิมพิสารทรงมีพระราชศรัทธาถวายพระเวฬุวัน (สวนไผ่) เพื่อเป็นวิหาร (วัด) แก่พระสงฆ์
มีพระพุทธองค์เป็นประมุข ซึ่งนับเป็นวัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนา
พระพุทธองค์พร้อมด้วยพระอรหันต์จำนวน ๑,๐๐๐ องค์นั้น ได้ประทับอยู่ที่พระเวฬุวันวิหารต่อมา
ถึงวันขึ้น ๑ ค่ำ เดือนมาฆะ (เดือน ๓) เวลานั้น ปริพาชกมีชื่อ ๒ คน คือ อุปติสสะ และ โกลิตะ
เป็นสหายกัน ได้พาบริวาร (รวมทั้งตัวเองด้วย) จำนวน ๒๕๐ คน
เข้าเฝ้าพระพุทธองค์ที่พระเวฬุวันวิหาร พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรม
โปรดประทานเอหิภิกขุอุปสัมปทาถ้วนทุกคน ปริพาชกที่เป็นบริวารได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ทั่วทุกคน
ส่วนอุปติสสะ และโกลิตะ ผู้เป็นหัวหน้า ยังมิได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ในวันนั้น ครั้นต่อมาอีก ๗ วัน
พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมโปรดท่านโกลิตะ ให้สำเร็จเป็นพระอรหันต์
ครั้นต่อมาถึงวันเพ็ญเดือนมาฆะ ( ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ )
พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมแก่ทีฆนขะปริพาชก ที่ถ้ำสูกรขตา (ถ้ำที่สุกรขุด) ข้างเขาคิชฌกูฏ
ท่านอุปติสสะนั่งถวายงานพัด พระพุทธองค์อยู่ ได้ฟังพระธรรมเทศนานั้นแล้ว ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์
ทรงเปิดประชุมจาตุรงคสันนิบาต ในตอนบ่ายแห่งวันเพ็ญเดือนมาฆะ
วันนั้นขณะที่พระพุทธองค์เสด็จกลับจากถ้ำสูกรขตา ข้างเขาคิชฌกูฏ มาถึงพระเวฬุวันวิหาร
พระสงฆ์อรหันต์สาวกจำนวน ๑,๒๕๐ องค์ ก็ได้มาชุมนุมพร้อมกัน เฉพาะพระพักตร์ ต่างองค์ต่างมุ่ง
มาเฝ้าพระพุทธองค์ในเวลาเดียวกัน ซึ่งการประชุมสงฆ์ครั้งนี้ประกอบด้วยองค์ ๔
จึงเรียกว่า จาตุรงคสันนิบาต คือ
(๑) วันนั้นเป็นวันมาฆปุณมี วันอุโบสถขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนมาฆะ
(๒) พระอริยะสงฆ์จำนวน ๑,๒๕๐ องค์ มาประชุมกันโดยมิได้มีการนัดหมาย
(๓) พระอริยะสงฆ์ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นพระอรหันต์ผู้ได้อภิญญา ๖
(๔) พระอริยะสงฆ์ทั้งนั้น ล้วนเป็นเอหิภิกขุคือ ได้รับการอุปสมบทจากพระพุทธองค์เอง
พระพุทธองค์ทรงเห็นว่าการประชุมประกอบด้วยองค์ ๔ ดังกล่าวนี้ เป็นโอกาสดียิ่ง
ที่จะได้ทรงแสดงหลักการ สำคัญทางพระพุทธศาสนาจึง ทรงเปิดการประชุม
และทรงแสดง โอวาทปาติโมกข์ในที่ประชุมนั้น
ทรงโปรดพระพุทธบิดา พระนางพิมพาและราหุล ต่อจากวันเพ็ญเดือนมาฆะนั้นมา
พระพุทธองค์ได้ทรงส่งพระอริยะสาวก จำนวน ๑,๒๕๐ องค์นั้นออกไปประกาศพระพุทธศาสนา
กิตติศัพท์ได้เลื่องลือไปถึงกรุงกบิลพัสดุ์ว่าพระพุทธองค์ เมื่อได้ตรัสรู้แล้ว ได้เสด็จจาริก
โปรดเวไนยชนให้เลื่อมใสออกบวชเป็นพระสงฆ์ และเป็นอุบาสก อุบาสิกา
ได้สำเร็จมรรคผลเป็นจำนวนมาก ขณะนี้ กำลังประทับอยู่ที่พระเวฬุวันวิหาร กรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ
พระเจ้าสุทโธทนะ พระพุทธบิดาทรงทราบกิตติศัพท์นั้นแล้วมาทูลอาราธนาพระพุทธองค์ให้เสด็จ
ไปกรุงกบิลพัสดุ์ แต่ส่งทูตมาอย่างนี้ถึง ๙ ครั้ง พระพุทธองค์ยังมิได้เสด็จ ต่อมาพอย่างเข้าปีที่ ๒
นับแต่ตรัสรู้ พระเจ้าสุทโธทนะ จึงทรงส่งทูตมาอาราธนาอีก โดยทรงมอบให้ กาฬุทายี
อำมาตย์เป็นหัวหน้าคณะทูต ที่มาคราวนี้ก็ได้บวชเป็นพระสงฆ์ และได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ทั้งคณะ
ครั้นย่างเข้าฤดูร้อนพระกาฬุทายีจึงทูลอาราธนา พระพุทธองค์เสด็จกรุงกบิลพัสดุ์
ตามคำอาราธนาของพระพุทธบิดา พระพุทธองค์พร้อมพระอริยสงฆ์จำนวน ๒ หมื่นรูป จึงได้เสด็จไป
โดยมีพระกาฬุทายีเป็นผู้นำทางเสด็จ ดำเนินเป็นเวลา ๖๐ วัน ก็ถึงกรุงกบิลพัสดุ์
ประทับอยู่ที่นิโครธรามใกล้ป่ามหาวัน ซึ่งพระญาติจัดไว้ถวาย ได้ทรงแสดงเวสสันดรชาดก
โปรดพระประยูรญาติให้เลื่อมใส วันรุ่งขึ้นได้เสด็จออกบิณฑบาต โปรดประชาชนในกรุงกบิลพัสดุ์
ในการเสด็จเยือนกรุงกบิลพัสดุ์ครั้งนี้นอกจากได้ทรงแสดงเวสสันดรชาดก
โปรดพระประยูรญาติให้เลื่อมใสดังได้กล่าวแล้ว ยังทรงแสดงธรรมโปรดพระพุทธบิดา
ีให้สำเร็จเป็นพระสกทาคาม โปรดพระนางปชาบดีโคตมี และพระนางพิมพาให้สำเร็จเป็นพระโสดาบัน
และโปรดให้ พระราหุลกุมาร บรรพชาเป็นสามเณรองค์แรกในพระพุทธศาสนา โดยทรงมอบให้
พระสารีบุตรเป็นพระอุปัชฌาย์ อยู่จำเนียรกาลต่อมาพระราหุลได้อุปสมบทและได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์
เสด็จแคว้นโกศล เมื่อประทับอยู่ที่กรุงกบิลพัสดุ์เป็นเวลานานพอสมควรแล้ว
พระพุทธองค์ได้เสด็จจากกรุงกบิลพัสดุ์กลับไปยังกรุงราชคฤห์
ประทับอยู่ที่สีสปาวัน (ป่าสีเสียดหรือป่ากระทุ่มเลือด) ครั้งนั้นเศรษฐีชาวเมืองสาวัตถี แคว้นโกศล
ชื่อ อนาถปิณทิกะ (เดิมชื่อสุทัตตะ) ได้ไปทำธุรกิจที่กรุงราชคฤห์ และเข้าเฝ้าพระพุทธองค์
ได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระพุทธองค์แล้วได้สำเร็จเป็นพระโสดาบัน
ได้ทูลอาราธนาพระพุทธองค์เสด็จไป กรุงสาวัตถี แล้วตนเองได้กลับไปเมืองสาวัตถีก่อน
เพื่อเตรียมการรับเสด็จพระพุทธองค์ และได้สร้างพระเชตวันมหาวิหาร เตรียมถวาย
ต่อมา พระพุทธองค์ได้เสด็จไปเมืองสาวัตถี ตามคำทูลอาราธนาของท่านเศรษฐีนั้น เมื่อเสด็จถึงแล้ว
ท่านเศรษฐีก็ถวายการต้อนรับอย่างดีด้วยความเคารพเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง
และได้ถวายพระเชตวันมหาวิหารแด่พระสงฆ์ มีพระพุทธองค์เป็นประมุข พระพุทธองค์ทรงรับพระวิหาร
ไว้ในพระพุทธศาสนา ทรงอนุโมทนาแสดงธรรมกถา โปรดตามควรแก่อัธยาศัย ระหว่างที่ประทับอยู่ที่
พระเชตะวันมหาวิหารนี้ พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงธรรมโปรด
พระเจ้าปเสนทิโกศลให้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา และทรงโปรดพระนางมัลลิกาอัครมเหสี
ให้ได้ดวงตาเห็นธรรม ครั้งนั้น เหตุการณ์ภายในเมืองสาวัตถีกำลังปั่นป่วน เพราะมีโจรใจเหี้ยมคนหนึ่ง
ชื่อ “องคุลิมาล” ได้ออกอาละวาดฆ่าคนเป็นจำนวนมาก โดยตัดนิ้วมือของคนที่ถูกฆ่า
คนละนิ้วคล้องเป็นพวงมาลัย ๙๙๙ นิ้ว ยังเหลือเพียงนิ้วเดียวก็จะครบ ๑,๐๐๐ นิ้ว ตามต้องการ
เวลานั้นมารดาของ องคุลิมาล คิดถึงลูกมาก ประสงค์จะไปเยี่ยมลูก พระพุทธองค์ทรงเห็นว่า
หากองคุลิมารได้พบมารดา ก็จะฆ่ามารดาของตนเสียจะเป็นบาปหนัก จึงเสด็จไปโปรดองคุลิมาล
ให้มีความเลื่อมใส ให้บวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา
พระประยูรญาติทรงผนวชตามเสด็จ
ครั้งหนึ่งพระพุทธองค์ประทับอยู่ที่อนุปิยอัมพวันแห่ง แคว้นมัลละ เวลานั้น
กษัตริย์ศากยราชผู้เป็นพระประยูรญาติ ๖ พระองค์ คือ พระภัททิยะ พระอนุรุทธะ พระอานนท์ พระภัคคุ
พระกิมพิละ และ พระเทวทัต ทรงเลื่อมใสในพระพุทธจริยา ประสงค์จะผนวชตามเสด็จพระพุทธองค์
จึงพร้อมกันชวนนายช่างกัลบก ชื่อ อุบาลี พากันไปเฝ้าพระพุทธองค์ ณ ที่ประทับ ทูลขออุปสมบท
พระพุทธองค์ก็ประทานอุปสมบทให้ตามประสงค์ โดยให้นายช่างกัลบกอุปสมบทก่อน
กษัตริย์ศากยราชทั้ง ๖ องค์นั้นอุปสมบทในภายหลัง พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมโปรดตามควรแก่
อัธยาศัย ต่อมาท่านเหล่านั้น นอกจาก พระเทวทัต และ พระอานนท์ ได้ปฏิบัติวิปัสสนาจนได้สำเร็จ
เป็นพระอรหันต์ ส่วน พระอานนท์ ได้สำเร็จเป็น พระโสดาบัน
พระเทวทัต นั้นได้บรรลุสมาบัติมีอิทธิฤทธิ์ตามวิสัยปุถุชน
ทรงห้ามพระประยูรญาติวิวาทเรื่องน้ำ
ครั้งหนึ่งพระประยูรญาติทั้งสองฝ่าย คือ ฝ่ายกรุงกบิลพัสดุ์ และฝ่ายโกลิยนครได้วิวาทกัน
ด้วยแย่งน้ำในแม่น้ำโรหิณีเพื่อระบายน้ำไปสู่พื้นที่ทำนาในเขตของตน เริ่มด้วยพวกคนงานทะเลาะกัน
และลามไปถึงกษัตริย์ทั้งสองฝ่ายได้เตรียมอาวุธยกกำลังเข้าประจันหน้ากัน จวนจะเกิดศึกอยู่รอมร่อ
แล้วครั้งนั้นขณะพระพุทธองค์ประทับอยู่ที่แคว้นสักกะ ทรงเห็นเหตุการณ์เช่นนั้น จึงเสด็จไปโปรด
พระประยูรญาติทั้งสองฝ่าย ให้ระงับการวิวาทบาดหมางกัน โดยทรงชี้ให้เห็นว่าชีวิตกษัตริย์ ชีวิตคนนั้น
แพงกว่าน้ำมากนัก ไม่ควรเห็นน้ำดีกว่าคน พระญาติทั้งสองฝ่ายจึงเลิกวิวาทกันและมีความสามัคคีกัน
ทรงโปรดช้างนาฬาคีรี ครั้งหนึ่งพระพุทธองค์ประทับอยู่ที่พระเวฬุวันวิหาร กรุงราชคฤห์ เช้าวันหนึ่ง
ขณะที่พระพุทธองค์เสด็จออกบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ พระเทวทัตศิษย์ทรยศของพระพุทธองค์
ได้ติดสินบนควาญช้างให้ปล่อยช้างนาฬาคีรี เพื่อทำร้ายพระพุทธองค์ตามแผนการ
แต่ด้วยเมตตาจิตของพระพุทธองค์ ช้างตกมันก็หายพยศ
กลับคุกเข่าลงมอบลงตรงพระพักตร์พระพุทธองค์
ถวายพระเพลิงพระบรมศพพระพุทธบิดา ครั้งหนึ่งพระพุทธองค์ประทับอยู่ท ี่กูฏาคารศาลา
ป่ามหาวันใกล้เมืองเวสาลีแคว้นวัชชี ทรงจำพรรษา ณ ที่นี้เป็นพรรษาที่ ๕ ครั้งนั้นพระพุทธองค์
ทรงทราบว่า พระเจ้าสุทโธทนะทรงประชวรหนัก จึงเสด็จเยี่ยมพระพุทธบิดาที่ กรุงกบิลพัสดุ์
พร้อมด้วยพระอริยสงฆ์พุทธสาวก ครั้นเสด็จถึงแล้วได้ทรงแสดงธรรมโปรดพระพุทธบิดาให้ได้สำเร็จ
เป็นพระอรหันต์ หลังจากนั้น ๗ วัน พระพุทธบิดาก็สวรรคต พระพุทธองค์พร้อมด้วยพระสงฆ์
และพระประยูรญาติจึงพร้อมกันจัดถวายพระเพลิงพระบรมศพพระพุทธบิดา
พระมหาโมคคัลลานะ อัครสาวกถูกประทุษร้าย
การที่พระพุทธองค์ได้ประดิษฐานพระพุทธศาสนาลงมั่นคงในมัธยมประเทศ (ภาคกลางชมพูทวีป)
และแพร่หลายไปในที่ต่างๆ อย่างรวดเร็วนั้น ก็ด้วยการร่วมกำลังกันเผยแพร่ของพุทธบริษัทที่สำคัญ
คือ พระสงฆ์ พุทธสาวก และบรรดาพระสงฆ์สาวกนั้น ที่สำคัญที่สุดก็คือ พระอัครสาวกทั้ง ๒ คือ
พระสารีบุตรเถระ และ พระมหาโมคคัลลานะเถระ ซึ่งเป็นกำลังสำคัญยิ่งใหญ่ของพระพุทธองค
์จึงเป็นที่อิจฉาริษยาของมิจฉาทิฏฐิเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะ พระมหาโมคคัลลานะผู้มีฤทธิ์มากนั้น
มีผู้ปองร้ายอยู่ตลอดเวลา ครั้งหนึ่งเมื่อท่านจำพรรษาอยู่ที่กาฬศิลา แคว้นมคธ ก็ได้ถูกกลุ่มอาชญากร
ประทุษร้ายด้วยการว่าจ้างของกลุ่มมิจฉาทิฏฐิ แม้พระพุทธศาสนาจะได้เจริญแพร่หลายแล้ว
จำนวนพุทธสาวกได้เพิ่มขึ้น พุทธบริษัทมากมายจนนับไม่ถ้วนถึงกระนั้นพระพุทธองค์ก็มิได้ทรงหยุดยั้ง
ในการทรงบำเพ็ญพุทธกิจ คงเสด็จจาริกไปแสดงธรรมโปรดประชาชนทั่วไปตลอดเวลา ๔๕ พรรษา
นับแต่พรรษาแรกที่ป่าอิสิปตนะมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี
พรรษาสุดท้ายที่หมู่บ้านเวฬุคาม แขวงเมืองเวสาลี ณ ที่นี้ และพรรษาสุดท้ายนี้
พระพุทธองค์ก็ทรงประชวรหนัก แต่ทรงข่มเสียด้วยพระสติสัมปชัญญะ ครั้นออกพรรษาแล้ว
ล่วงวันเพ็ญเดือนมาฆะ ต่อแต่นั้นมา พระพุทธองค์ก็เสด็จจาริกโปรดเวไนยไปในที่ต่างๆ จนเสด็จถึง
เมืองปาวา เข้าประทับที่สวนมะม่วง ของนายจุนทะ บุตรนายช่างทอง
ได้เสวยพระกายาหารมื้อสุดท้ายที่นายจุนทะถวาย ทรงแสดงธรรมโปรด นายจุนทะ
ให้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา แล้วทรงอำลานายจุนทะ เสด็จดำเนินต่อไป ผ่านสถานที่ต่างๆไป
โดยลำดับ จนถึงป่าสาลวัน เขตเมืองกุสินารา รับสั่งพระอานนท์ให้ปูลาดที่บรรทมระหว่างต้นสาละคู่หนึ่ง
ให้หันพระเศียรไปทางทิศอุดร แล้วประทับสำเร็จสีหไสยา คือ การบรรทม ตะแคงขวาเป็นอนุฏฐานไสยา
คือการบรรทม โดยมิได้ทรงกำหนดว่าจะทรงลุกขึ้นเมื่อนั้น เมื่อนี้ ณ ตอนบ่ายวันเสด็จถึงนั้น
และในคืนวันนั้นสุภัททะปริพาชกได้มาเฝ้าขออุปสมบทเป็นพระสาวกองค์สุดท้ายของพระพุทธองค์
ต่อจากนั้นพระองค์ก็ได้ประทานพระโอวาท แก่ภิกษุสงฆ์ ครั้งถึงยามสุดท้ายแห่งวันเพ็ญ เดือนวิสาขะ
ก็เสด็จดับขันธปรินิพพาน
ครั้นรุ่งเช้า เมื่อข่าวการเสด็จปรินิพพานของพระพุทธองค์ทราบถึงพวก มัลลกษัตริย์
และชาวเมืองกุสินาราแล้ว กษัตริย์ และประชาชนก็ได้พากันมานมัสการ พระบรมพุทธสารีระ แสดงความ
โศกเศร้าอาลัยโดยทั่วหน้า ครั้นล่วงไป ๗ วันแล้ว จึงเชิญพระบรมศพไปประดิษฐาน ณ มกุฏพันธนเจดีย์
เพื่อถวายพระเพลิงเมื่อพระมหากัสสปเถระ พร้อมด้วยบริวารมาถึง และที่ประชุมพร้อมแล้วจึงได้พร้อมกัน
ถวายพระเพลิง ครั้นถวายพระเพลิงเสร็จแล้ว พวกมัลลกษัตริย์เมืองกุสินาราก็ได้รวบรวมพระบรมสารีริกธาตุ
ที่เหลืออัญเชิญไปประดิษฐานไว้ ณ สัณฐาคารศาลา ภายในพระนครเพื่อเป็นที่สักการบูชาสืบไป
ต่อมามีกษัตริย์และพราหมณ์ตามเมืองต่างๆได้มาขอพระบรมธาตุ กล่าวคือ กษัตริย์เมืองราชคฤห์ เมืองเวสาลี
เมืองกบิลพัสดุ์ เมืองอัลลกัปปะ เมืองรามคาม พราหมณ์ เมืองเวฏฐทีปกะ และ เมืองปาวา
มัลลกษัตริย์ ก็แจกจ่ายถวายโดยทั่วกัน ส่วนโทณพราหมณ์เมืองกุสินารา ผู้ทำหน้าที่แบ่งพระบรมธาตุ
ได้ทะนานตวงพระธาตุไว้เป็นสักการบูชา