พระกีสาโคตมีเถรี 

เอตทัคคะในฝ่ายผู้ทรงจีวรเศร้าหมอง

พระกีสาโคตมีเถรีถือกําเนิดในสกุลคนเข็ญใจในกรุงสาวัตถี บิดามารดาตั้งชื่อให้นางว่า โคตมี แต่เพราะความที่นางเป็นผู้มีรูปร่างผอมบาง คนทั่วไปจึงเรียกนางว่า กีสาโคตมี

เงินทองของเศรษฐีกลายเป็นถ่าน

ในกรุงสาวัตถีนั้น มีเศรษฐีคนหนึ่งมีทรัพย์สินเงินทองมากมายถึง ๔๐ โกฏิ แต่ต่อมาทรัพย์สิน เหล่านั้นกลายสภาพเป็นถ่านไปทั้งหมด เศรษฐีจึงเกิดความเสียดายเศร้าโศกเสียใจ กินไม่ได้ นอนไม่หลับ ร่างกายซูบผอมไปจากเดิม มีสหายคนหนึ่งมาเยี่ยมเยียน ได้ทราบสาเหตุความ ทุกข์ของเศรษฐี จึงแนะนําอุบายที่จะให้ถ่านเหล่านั้นกลับมาเป็นเงินเป็นทองดังเดิมว่า

แน่ะสหาย ท่านจงนําท่านทั้งหมดนี้ออกไปวางที่ริมถนนในตลาด ทําทีประหนึ่งว่านําสินค้า ออกมาขาย ถ้ามีคนผ่านไปผ่านมาพูดว่า คนอื่น ๆ เขาขายผ้า ขายนํ้ามัน นํ้าผึ้ง นํ้าอ้อย เป็นต้น แต่ท่านกลับเอาเงินเอาทองมานั่งขาย ถ้าคนที่พูดนั้นเป็นหญิงสาว ท่านก็จงสู่ขอนาง มาเป็นสะใภ้ แล้วมอบทรัพย์ทั้งหมดนั้นให้แก่เธอ ท่านก็จงอาศัยเลี้ยงชีพอยู่กับเธอนั้น แต่ถ้าคนที่พูด เป็นชายหนุ่ม ท่านก็จงยกธิดาของท่านให้แก่เขา แล้วมอบทรัพย์ทั้งหมดให้แก่ เขาโดยทํานอง เดียวกัน

ถ่านกลับเป็นเงินเป็นทองดังเดิม

เศรษฐีได้ฟังสหายแนะนําแล้วเห็นดีด้วย จึงทําตามสหายแนะนําทุกอย่าง ประชาชนที่ผ่านไป ผ่านมาต่างก็พูดกันว่า  คนอื่น ๆ เขาขายผ้า ขายนํ้ามัน นํ้าผึ้ง นํ้าอ้อย เป็นต้น แต่ท่านกลับมา นั่งขายถ่าน

เศรษฐีตอบว่า ก็เรามีแต่ถ่านอย่างเดียว สิ่งอื่น ๆ ของเราไม่มี วันนั้นนางกีสาโคตมีเดินเข้าไป ธุระในตลาด เห็นเศรษฐีแล้วนึกประหลาดใจ จึงถามว่า

คุณพ่อ คนอื่น ๆ เขาขายผ้า ขายนํ้ามัน นํ้าผึ้ง นํ้าอ้อย เป็นต้น แต่ทําไมคุณพ่อกลับเอาเงินเอา เอาทองมาขายเล่า

เงินทองที่ไหนกัน แม่หนู เศรษฐีกล่าว

คุณพ่อ ก็ที่กองอยู่นี่ไง พูดแล้วนางก็กอบเต็มมือให้เศรษฐีดู ทันใดนั้น เศรษฐีก็เห็นถ่านใน กํามือของนางกลายเป็นเงินเป็นทองจริง ๆ

จากนั้นเศรษฐีได้สอบถามถึงสถานที่อยู่และตระกูลของนาง แล้วได้สู่ขอนางมาทําพิธี อาวาหมงคลกับบุตรชายของตน แล้วมอบทรัพย์ ๔๐ โกฏินั้นให้แก่นาง ทรัพย์เหล่านี้ก็กลับเป็น เงินเป็นทองดังเดิม

อุ้มศพลูกหาหมอรักษา

นางได้อยู่ร่วมกับสามีจนมีบุตรหนึ่งคน ในขณะที่บุตรของนางอยู่ในวัยพอเดินได้เท่านั้น ก็ถึงแก่ความตาย นางห้ามมิให้คนนําบุตรของนางไปเผาหรือไปทิ้งในป่าช้า เพราะนางไม่เคย เห็นคนตาย จึงอุ้มร่างบุตรชายที่ตายแล้วนั้นเที่ยวเดินถามตามบ้านเรือนต่าง ๆ ว่า มียารักษา บุตรของนางบ้างหรือไม่ คนทั้งหลายพากันคิดว่า นางคงจะเป็นบ้า จึงเที่ยวหายารักษาคนตาย ให้ฟื้น อุบาสกผู้มีปัญญาคนหนึ่งเห็นกิริยาของนางแล้วก็คิดว่า นางคงจะมีบุตรคนแรก จึงรักบุตร มากและคงจะไม่เคยเห็นคนตาย จึงไม่รู้ว่าความตายเป็นอย่างไร เราควรจะแนะนําทางให้นาง ดีกว่า จึงกล่าวกับนางว่า แม่หนู ฉันเองไม่รู้จักยารักษาลูกของเธอหรอก แต่พระสมณโคดม ขณะนี้ประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน พระองค์ท่านรู้จักยาที่รักษาลูกของ เธอได้

นางรู้สึกดีใจที่ทราบว่ามีคนสามารถรักษาลูกน้อยของนางให้หายได้ จึงอุ้มลูกน้อยรีบมุ่งหน้า ตรงไปยังพระวิหารเชตวัน เข้าไปกราบถวายบังคมพระบรมศาสดา แล้วทูลถามหายาที่จะมา รักษาลูกของนางให้หายได้

พระพุทธองค์รับสั่งให้นางไปหาเมล็ดพันธุ์ผักกาดหยิบมือหนึ่ง มาเป็นเครื่องปรุงยา แต่มีข้อแม้ ว่าจะต้องเป็นเมล็ดพันธุ์ผักกาด ที่ได้จากบ้านที่ไม่เคยมีคนตายมาก่อนเท่านั้น จึงสามารถใช้ เป็นเครื่องปรุงยาได้

พระศาสดาบอกยาให้

ในดวงจิตของนางคิดว่า ของสิ่งนี้หาไม่ยาก นางอุ้มร่างลูกน้อยเข้าไปในหมู่บ้าน ออกปากขอ เมล็ดพันธุ์ผักกาดตั้งแต่บ้านหลังแรกเรื่อยไป ปรากฏว่าทุกบ้านมีเมล็ดพันธุ์ผักกาดทั้งนั้น แต่พอถามว่าที่บ้านนี้เคยมีคนตายหรือไม่ เจ้าของบ้านต่างก็ตอบเหมือนกันอีกว่า ที่บ้านนี้ คนที่ยังเหลืออยู่นี้ น้อยกว่าคนที่ตายไปแล้ว เมื่อทุกบ้านต่างก็ตอบอย่างนี้ นางจึงเข้าใจว่า ความตายนั้นเป็นอย่างไร และคนที่ตาย ก็มิใช่ว่าจะตายเฉพาะลูกของเธอเท่านั้น ทุกคนเกิดมา ก็ต้องตายเหมือนกันหมด นางจึงวางร่างลูกน้อยไว้ในป่า แล้วกลับไปกราบทูลพระบรมศาสดา ว่า ไม่สามารถจะหาเมล็ดพันธุ์ผักกาดจากบ้านเรือนที่ไม่มีคนตายได้

พระพุทธองค์ได้สดับคํากราบทูลของนาง แล้วตรัสว่า โคตมี เธอเข้าใจว่าลูกของเธอเท่านั้น หรือที่ตาย อันความตายนั้นเป็นของธรรมดาที่มีคู่กับสัตว์ทั้งหลายที่เกิดมาในโลก เพราะว่า มัจจุราชย่อมฉุดคร่าสัตว์ทั้งหมด ผู้มีอัธยาศัยเต็มเปี่ยมไปด้วย กิเลสตัณหาให้ลงไปใน มหาสมุทรคือ อบายภูมิ อันเป็นเสมือนท้องนํ้าใหญ่ ฉะนั้น นางได้ฟังพระดํารัสของ พระบรมศาสดาจบลง ก็ได้บรรลุอริยผลดํารงอยู่ในพระโสดาบัน แล้วกราบทูลขอบรรพชา พระบรมศาสดารับสั่งให้ไปบรรพชาในสํานักของภิกษุณีสงฆ์ นางบวชแล้ว ได้นามว่า กีสาโคตมีเถรี

วันหนึ่งพระเถรีได้ไปทําความสะอาดโรงอุโบสถ เห็นแสงประทีปที่จุดอยู่ลุกโพลงขึ้น แล้วหรี่ลง สลับกันไป นางจึงถือเอาดวงประทีปนั้นเป็นอารมณ์กรรมฐานว่า สัตว์โลกก็เหมือนกับ แสงประทีปนี้ มีเกิดขึ้นและดับไป แต่ผู้ถึงพระนิพพานไม่เป็นอย่างนั้น

 ขณะนั้น พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ภายในพระคันธกุฏิ ทรงทราบด้วยพระญาณว่า นางกําลังยึด เอาดวงประทีปเป็นอารมณ์กรรมฐานอยู่นั้น จึงทรงแผ่พระรัศมีไปปรากฏประหนึ่งว่า พระองค์ ประทับนั่งตรงหน้าของนาง แล้วตรัสว่า อย่างนั้นแหละโคตมี สัตว์ทั้งหลายย่อมเกิดขึ้นแล้ว ดับไป เหมือนเปลวดวงประทีปนี้ แต่ผู้ถึงพระนิพพานแล้ว ย่อมไม่ปรากฏอย่างนั้น ความเป็นอยู่  แม้เพียงชั่วขณะเดียวของผู้เห็น พระนิพพานย่อมประเสริฐกว่าความเป็นอยู่ตั้ง ๑๐๐ ปี ของผู้ ไม่เห็นพระนิพพานนั้น

เมื่อสิ้นสุดพระพุทธดํารัส นางก็ได้บรรลุพระอรหันตผล ดํารงตนเป็นพระเถรีผู้เคร่งครัดในการ ใช้สอยบริหาร ยินดีเฉพาะผ้าไตรจีวรที่มีสีปอน ๆ และเศร้าหมอง เที่ยวไปทุกหนทุกแห่ง ด้วยเหตุนี้ พระบรมศาสดา จึงได้ประทานแต่งตั้งพระเถรีนี้ ในตําแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่า ภิกษุณีสาวิกาทั้งหลายในฝ่ายผู้ทรงจีวรเศร้าหมอง

หมายเหตุ: 

เอตทัคคะ เป็นตําแหน่งทางพระพุทธศาสนาที่พระบรมศาสดาได้ประทานแต่งตั้งให้พุทธบริษัท คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ผู้มีความรู้ความสามารถเด่นกว่าท่านอื่น ๆ ในด้านนั้น ๆ และ แต่ละตําแหน่ง พระพุทธองค์ประทานแต่งตั้งเพียงรูปเดียว ท่านเดียวเท่านั้น

เอตทัคคะในพระพุทธศาสนา หมวดพระภิกษุ ทั้งหมด ๔๑ ท่าน

เอตทัคคะในพระพุทธศาสนา หมวดภิกษุณี   ทั้งหมด ๑๓ ท่าน

เอตทัคคะในพระพุทธศาสนา หมวดอุบาสก   ทั้งหมด ๑๐ ท่าน

เอตทัคคะในพระพุทธศาสนา หมวดอุบาสิกา  ทั้งหมด ๑๐ ท่าน

 

ที่มา หนังสือเอตทัคคะ ในพระพุทธศาสนา

พระครูกัลยาณสิทธิวัฒน์ (สมาน พรหมอยู่ / กัลยาณธัมโม)

ISBN 974-344-157-3

 


กลับไปสู่หน้าเมนู