ปางที่ ๖๖
ปางปรินิพพาน

 

ลักษณะของพระพุทธรูปปางนี้

อยู่ในพระอิริยาบถนอนตะแคงขวา หลับพระเนตร พระเศียรหนุนพระเขนย
พระหัตถ์ซ้ายทอดทาบไปตามพระกายเบื้องซ้าย พระหัตถ์ขวาหงายวางอยู่ที่พื้นข้างพระเขนย
พระบาททั้งสองตั้งซ้อนกัน

พระพุทธรูปปางนี้ มีตำนาน ดังนี้

พระพุทธรูปปางนี้ มีตำนานเล่าว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคโปรดสุภัททะปริพพาชกให้สำเร็จเป็นพระอริยเจ้าอัน
เป็นปัจฉิมสาวกแล้ว ต่อนั้นพระอานนท์เถระ ได้ทูลถามพระศาสดาว่า "ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระฉันนะ
ถือตัวว่าเป็นข้าเก่า ติดตามพระองค์คราวเสด็จสู่มหาภิเนษกรมณ์ เป็นผู้ว่ายาก ไม่รับโอวาทใครๆแม้จะกรุณา
เตือน เมื่อพระองค์ปรินิพพานแล้ว จักเป็นผู้ว่ายากยิ่งขึ้น ด้วยหาผู้ยำเกรงมิได้ ข้าพระองค์จะพึงปฏิบัติแก่ท่าน
อย่างไร ในกาลเมื่อพระองค์ปรินิพพานแล้ว"

"อานนท์ เมื่อเราล่วงลับไปแล้ว สงฆ์พึงลงพรหมทัณฑ์แก่ฉันนะเถิด"
"พรหมทัณฑ์ เป็นไฉนเล่า พระเจ้าข้า"

"อานนท์ การลงพรหมทัณฑ์นั้น คือ ภิกษุทั้งหลาย ไม่พึงว่ากล่าว ไม่พึงโอวาท ไม่พึงสั่งสอนเลย ไม่พึงเจรจา
คำใดๆ ด้วยทั้งสิ้น เว้นแต่คำอันเป็นกิจธุระโดยเฉพาะอานนท์ เมื่อฉันนะถูกสงฆ์ลงพรหมทัณฑ์แล้วจักสำนึกใน
ความผิด และสำเหนียกในธรรมวินัย เป็นผู้ว่าง่าย ยอมรับโอวาทปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมแล"

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ประทานโอวาทแก่ภิกษุทั้งหลายว่า "อานนท์ เมื่อตถาคตเจ้าปรินิพพานแล้ว
หากจะพึงมีภิกษุบางรูปดำริว่า พระศาสดาของเราปรินิพพานแล้ว บัดนี้ ศาสดาของเราไม่มี อานนท์ ท่านทั้ง
หลายไม่ควรดำริเช่นนั้น ไม่ควรเห็นอย่างนั้น แท้จริง วินัยที่เราได้บัญญัติแก่ท่านทั้งหลายก็ดี ธรรมที่เราได้
แสดงแล้วแก่ท่านทั้งหลายก็ดี เมื่อเราล่วงไปแล้ว ธรรมและวินัยนั้นๆแล จักเป็นศาสดาของท่านทั้งหลาย
แล้วประทานโอวาทครั้งสุดท้ายว่า :-

"ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เราขอเตือนท่านทั้งหลาย สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลาย
จงบำเพ็ญไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ให้บริบูรณ์ ด้วยความไม่ประมาทเถิด"

เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสประทานโอวาทเป็นวาระสุดท้ายเพียงเท่านี้แล้วก็หยุดมิได้ตรัสอะไรอีกเลย
ทรงทำปรินิพพาน บริกรรมด้วยอนุปุพพวิหารสมาบัติทั้ง โดยอนุโลมเป็นลำดับ ดังนี้ :-

ทรงเข้าปฐมฌาน
ออกจากปฐมฌานแล้ว

ทรงเข้าทุติยฌาน
ออกจากทุติยฌานแล้ว

ทรงเข้าตติยฌาน
ออกจากตติยฌานแล้ว

ทรงเข้าจตุตถฌาน
ออกจากจตุตถฌานแล้ว

ทรงเข้าอากาสานัญจายตนะ
ออกจากอากาสานัญจายตนะแล้ว

ทรงเข้าวิญญาณัญจายตนะ
ออกจากวิญญาณัญจายตนะแล้ว

ทรงเข้าอากิญจัญญายตนะ
ออกจากอากิญจัญญายตนะแล้ว

ทรงเข้าเนวสัญญานาสัญญายตนะ
ออกจากเนวสัญญานาสัญญายตนะแล้ว

ทรงเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ
สมาบัติที่ ๙

สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัตินี้ มีอาการสงบที่สุด ถึงดับสัญญาและเวทนา ไม่รู้สึกทั้งกายทั้งใจทุกประการ
แม้ลมหายใจเข้าออกก็หยุด สงบยิ่งกว่านอนหลับ ผู้ไม่คุ้นเคยกับสมาบัตินี้อาจคิดเห็นไปว่านิพพานแล้ว
ดังนั้นพระอานนท์เถระเจ้า ผู้นั่งเฝ้าดูพระอาการอยู่ตลอดทุกระยะ ได้เกิดวิตกจิตคิดว่า พระบรมศาสดาคง
จะเสด็จนิพพานแล้ว จึงเรียนถามพระอนุรุทธเถระเจ้าผู้เชี่ยวชาญในสมาบัตินี้ว่า "ข้าแต่ท่านอนุรุทธ พระ-
บรมศาสดาเสด็จพิพพานหรือยัง"

"ยัง ท่านอานนท์" พระอนุรุทธบอก "ขณะนี้พระบรมศาสดา กำลังเสด็จอยู่ในสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ"

ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จอยู่ในสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ ตามเวลาที่พระองค์ทรงกำหนดแล้ว ก็
เสด็จออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ เข้าเนวสัญญานาสัญญายตนะ ถอยออกจากสมาบัตินั้น โดย
ปฏิโลมตามลำดับ จนถึงปฐมฌาน ต่อนั้น ก็ออกจากปฐมฌาน แล้วทรงเข้าทุติยฌาน อีกวาระหนึ่ง

ออกจากทุติยฌานแล้ว
ทรงเข้าตติยฌาน

ออกจากตติยฌานแล้ว
ทรงเข้าจตุตถฌาน

เมื่อออกจากจตุตถฌานแล้ว ก็สด็จปรินิพพาน ณ ปัจฉิมยามแห่งราตรีวิสาขปุรณมี เพ็ญเดือน มหามงคล
สมัยด้วยประการฉะนี้

ครั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้ว ก็บังเกิดมหัศจรรย์แผ่นดินไหว กลองทิพย์ก็บันลือลั่น กึกก้อง
สัททสำเนียงเสียงสนั่นในนภากาศเป็นมหาโกลาหล ในปัจฉิมยามพร้อมกับขณะเวลาปรินิพพาน ของสมเด็จ
พระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นนาถะของโลก

ขณะนั้น ท้าวสหัมบดีพรหม ท้าวโกสีย์สักกเทวราช พระอนุรุทธเถระเจ้า และพระอานนท์เถระเจ้า ได้กล่าว
คาถาสรรเสริญพระคุณ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แสดงความไม่เที่ยงถาวรของสัตว์สังขารทั่วไป ด้วยความ
เลื่อมใสและความสลดใจ ในการปรินิพพานของพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เป็นพระบรมศาสดาของมวลเทพยดา
และมนุษย์ทั้งหลาย

ขณะนั้น บรรดาพุทธบริษัททั้งหลายทั้งปวง ที่ประชุมอยู่ในอุทยานสาลวันนั้นต่างก็เศร้าโศก ร่ำไร รำพัน
ปริเทวนาการ คร่ำครวญถึงพระสัมพุทธเจ้า เป็นที่น่าสดลใจยิ่งนัก พระอนุรุทธเถระเจ้า และพระอานนท์เถระเจ้า
ได้แสดงธรรมีกถาปลุกปลอบ บรรเทาจิตบริษัทให้เสื่อมสร่างจากความเศร้าโศก
ตามควรแก่วิสัยและควรแก่เวลา .

 

จบตำนานพระพุทธรูป ปางปรินิพพาน (จบปางที่คำรบสุดท้าย) แต่เพียงนี้ .