ปางที่ ๖๕
ปางโปรดสุภัททะ
ลักษณะของพระพุทธรูปปางนี้
อยู่ในพระอิริยาบถนอนตะแคงข้างขวา ลืมพระเนตรพระเศียรหนุนพระเขนย
พระหัตถ์ซ้ายทาบไปตามพระกายเบื้องซ้าย พระหัตถ์ขวายกขึ้นตั้ง
จีบนิ้วพระหัตถ์เป็นกิริยาแสดงธรรมโปรด
พระพุทธรูปปางนี้ มีตำนาน ดังนี้
พระพุทธรูปปางนี้ มีตำนานเล่าว่า เมื่อพระผู้็มีพระภาคเจ้าเสด็จบรรทมเหนือเตียงเป็นที่ปรินิพพานในสาลว-
โนทยาน ทรงพยากรณ์ประทานพระอานนท์เถระ บรรเทาความโทมนัสให้เสื่อมสว่างแล้ว พระอานนท์เถระ
กราบทูลว่า "ข้าแต่พระผู้มีพระภาค เมืองกุสินารา เป็นเมืองเล็ก เมืองดอน ไม่ควรเป็นเมืองที่พระองค์จะเสด็จ
ปรินิพพาน ข้าพระองค์ขออาราธนาให้ำปปรินิพพานในเมืองใหญ่ๆ เช่นพระนครราขคฤห์ พระนครสาวัตถี
เป็นต้นนั้นเถิด กษัตริย์ พราหมณ์ และคหบดี ผู้มหาศาล จักได้จัดการสักการะบูชาพระสรีระเป็นมโหฬาร ควร
แก่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นอัจฉริยมนุษย์บุรุษรัตนดิลกเลิศในโลก"
"อานนท์ เธออย่าได้กล่าวอย่างนี้" ทรงรับสั่ง "อานนท์เมืองกุสินารานี้แต่ปางก่อนเคยเป็นมหานครราชธานี
มีนามว่า "กุสาวดี" เป็นนครใหญ่ไพศาลพระเจ้ามหาสุทัศน์จักรพรรดิ์ราช เป็นพระมหากษัตริย์ครอบครอง
เป็นเมืองที่มีผู้คนมากประชาชนสงบสุข สมบูรณ์ด้วยทรัพย์สรรพสิ่งซึ่งเป็นเครื่องอุปกรณ์แก่ชีวิตของมนุษย์
ทุกประการ เสียงร้องเรียกหา ค้าขายสัญจรไปมาหาสู่กัน ไม่หยุดหย่อน ทั้งกลางวันกลางคืน
ครั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรื่องกุสินารา บรรเทาความข้องใจ หายความปริวิตกแก่พระอานนท์เถระเจ้าแล้ว
ทรงรับสั่งว่า "อานนท์จงเข้าไปบอกพวกมัลลกษัตริย์ให้ทราบว่า บัดนี้ พระตถาคตเจ้า จักปรินิพพาน ณ ยามที่
สุดแห่งราตรีในวันนี้ อย่าให้มัลลราชทั้งหลายมีความเดือดร้อนใจในภายหลังว่า พระตถาคตเจ้า มาปรินิพพาน
ในคามเขตของเราทั้งหลาย เราทั้งหลายสิกลับไม่ได้เห็นพระองค์ในกาลสุดท้าย"
พระอานนท์รับพระบัญชาแล้ว รีบไปแจ้งความนั้นแก่มัลลกษัตริย์ทั้งหลายตามพระประสงค์ของพระตถาคตเจ้า
ทุกประการ
เมื่อมัลลกษัตริย์ทั้งหลายได้ทราบแล้ว ต่างมีความทุกข์โทมนัสพร้อมด้วยโอรส สุณิสา และปชาบดี กับทั้งอำ-
มาตย์ พร้อมด้วยบุตรและภริยารีบเสด็จออกไปยังสาลวันอุทยาน เพื่อเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
พระอานนท์เถระเจ้าดำริว่า "ถ้าจะให้มัลลกษัตริย์ทั้งหลายเรียงองค์กันเข้าเฝ้า ราตรีก็จะสว่างเปล่าไม่สิ้นเสร็จ
จึงได้จัดให้เข้าเฝ้าพระผู้มีพระเจ้าเป็นสกุลๆ เป็นคณะๆ แล้วกราบทูลชื่อและวงศ์ตระกูลถวายโดยลำดับ ให้
มัลลกษัตริย์ได้เข้าถวายอภิวาทเสร็จภายในปฐมยามเบื้องต้นแห่งราตรีนั้น"
สมัยนั้น ปริพาชกผู้หนึ่งชื่อว่า สุภัททะ ชาวเมืองกุสินารา สุภัททะ ปริพพาชกนั้น ได้ยินข่าวว่า พระสมณโคดม
จักปรินิพพานในที่สุดแห่งราตรีนี้แล้ว จึงคิดว่า "ความสงสัยของเรามีอยู่ ควรจะรีบออกไปเฝ้าทูลถามให้พระองค์
ตรัสบอกบรรเทาความในใจของเรานั้นเสีย" แล้วสุภัททปริพพาชกก็ออกจากเมืองกุสินารา เข้าไปพบพระอานนท์
ยังสาลวันอุทยาน เพื่อขอโอกาสได้เข้าเฝ้า
พระอานนท์เถระเจ้า ได้ทัดทานว่า "อย่าเลย สุภัททะ ท่านอย่าเบียดเบียนพระตถาคตเจ้าเลย ขณะนี้พระตถาคต-
เจ้าก็ทรงลำบากพระกายหนักอยู่แล้ว" แม้สุภัททะปริพพาชกจะได้วิงวอนแล้วๆเล่าๆอยู่ถึง ๒ ครั้ง ๓ ครั้ง พระอา-
นนท์เถระเจ้าก็ไม่ยอมให้เข้าเฝ้า
ขณะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้สดับเสียงพระอานนท์ และสุภัททะปริพพาชกเจรจากันอยู่ จึงตรัสเรียกอานนท์ว่า
"อานนท์ อย่าห้ามสุภัททะเลย ให้สุภัททะได้เห็นตถาคตเถิด แม้สุภัททะจะถามปัญหาอันใดกับตถาคตก็จักไม่
เบียดเบียนตถาคตให้ลำบาก สุภัททะจักตรัสรู้ทั่วถึงธรรมในปัญหาทั้งปวงที่ตถาคตได้พยากรณ์แล้ว"
ลำดับนั้น พระอานนท์จึงบอกปริพาชกว่า "สุภัททะ บัดนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระกรุณาประทานโอกาสให้แก่
ท่านแล้ว ท่านจงเข้าไปเฝ้าเถิด"
สุภัททะปริพพาชก มีความเบิกบานใจ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถวายบังคมแล้ว ได้ทูลถามถึงครูทั้ง ๖ ซึ่ง
เป็นเจ้าลัทธิ มีปูรณกัสสป เป็นต้น ปฏิญญาว่าเป็นผู้วิเศษ ได้ตรัสรู้ยิ่งด้วยปัญญานั้น สมจริงดังคำปฏิญญาหรือไม่
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า "อย่าเลย สุภัททะ เราจักแสดงธรรมแก่ท่านท่านจงตั้งใจฟัง แล้วทำไว้ในใจให้สำเร็จ
ประโยชน์เถิด" แล้วพระผู้มีพระภาคได้ตรัสอริยมรรค ๘ ประการ ว่าเป็นมรรคประเสริฐมีอยู่ในธรรมวินัยใดแล้ว
สมณะ คือท่านผู้สงบระงับดับกิเลสได้จริง อนึ่งอริยมรรคทั้ง ๘ นั้น ก็มีอยู่เฉพาะในธรรมวินัยนี้เท่านั้น แม้สมณะ
ดังกล่าวแล้ว ก็มีอยู่แต่ในธรรมวินัยนี้แห่งเดียว "สุภัททะหากภิกษุทั้งหลายจะพึงปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ในธรรมนี้
แล้วไซร้โลกนี้ก็จักไม่พึงว่างเปล่าจากพระอรหันต์"
เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสแสดงธรรมนี้ สภัททปริพพาชกมีความเชื่อเลื่อมใสทูลสรรเสริญพระธรรมเทศนา พร้อม
กับขอปฏิญญาณตนเป็นอุบาสก ทูลขอบรรพชาอุปสมบทในสำนักพระผู้มีพระภาค
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสให้พระอานนท์รับธุระจัดให้สุภัททะบรรพชาอุปสมบทตามความปรารถนา
เมื่อสุภัททะได้อุปสมบทแล้ว หลีกออกไปบำเพ็ญสมณธรรมก็ได้บรรลุพระอรหันตตผล ในราตรีวันนั้น ได้เป็น
พระอรหันต์ปัจฉิมสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทันพระชนม์ชีพของพระบรมศาสดา .
จบตำนานพระพุทธรูป ปางโปรดสุภัททะ แต่เพียงนี้ .