ปางที่ ๕๖
ปางโปรดพกาพรหม

 

ลักษณะของพระพุทธรูปปางนี้

พระพุทธรูปปางนี้ อยู่ในพระอิริยาบถยืนทอดพระเนตรลงต่ำ พระหัตถ์ทั้งสองประสานที่พระเพลา
พระหัตถ์ขวาทับพระหัตถ์ซ้าย อยู่ในอาการสร้างสังวรจงกรมอยู่บนเศียรพกาพรหม

พระพุทธรูปปางนี้ ทำกันพิถีพิถันมาก คือสร้างเป็นรูปพกาพรหมมี มือ ถือศัตราวุธครบ ยืนอยู่
บนหลังโคอุสภราชมีทีท่าน่ากลัว แต่มีพระพุทธรูปยืนอยู่บนศีรษะ บางรูปก็มีพระพุทธรูปติดอยู่เหนือ
หน้าผากองค์พระพุทธรูปขนาดเล็กมากแทบไม่รู้ว่ารูปอะไร ดูเหมือนว่า ถ้าไม่มีใครบอกให้รู้มาก่อน
เห็นจะรู้ไม่ได้ ความจริงพระพุทธรูปนั้นพอเราแลเห็นเราก็รู้ได้ทันที เพราะรูปและลักษณะบอกให้เรา
รู้ชัด แต่ถ้าดูพระพุทธรูปองค์น้อยๆ อยู่บนศีรษะของท้าวพกาพรหมที่ทำทีท่าเป็นสง่าน่าเกรงขามอยู่
บนหลังโคอุสภสราชเช่นนั้น คนดูอาจลืมดูพระพระพุทธรูปองค์เล็กนั้น มัวไปจ้องดูรูปท้าวพกาพรหม
เสียอย่างเดียวก็ได้ เลยไม่รู้ว่ารูปอะไร

พระพุทธรูปปางนี้ มีตำนาน ดังนี้

ครั้งหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า เวด็จประทับอยู่ยังป่าสุภวัน ทรงทราบความปริวิตกของท้าวพกาพรหมว่า
พกาพรหมกำลังจะจมลงในห้วงแห่งสัสสดทิฏฐิ โดยดำริผิดคิดเห็นไปว่า สิ่งทั้งหลายเป็นของเที่ยงแท้
ไม่แปรผันจะเป็นอะไรก็เป็นอยู่อย่างนั้นไม่เปลี่ยนแปลง จะอ่อน จะแข็ง จะร้าย จะดีอย่างไร ก็ไม่แปรไป
เป็นอย่างอื่น จะแช่มชื่นขมขื่นทุกข์สุขอย่างใดๆก็เป็นธรรมดาหาใช่บาปบุญคุณโทษอะไรๆมานำพาก็
หาไม่ เมื่ออยู่ในสถานะใดๆก็คงอยู่ในสถานะนั้นๆ ตามภูมิตามชั้นของสัตว์ ขัดแย้งต่อศาสนาปฏิบัติของ
พระทศพล ที่ตรัสสอนว่า สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน กรรมดีและกรรมชั่ว ย่อมจะได้ผลสุขและทุกข์
ตามสนองตามโอกาสไม่มีผู้ใดจะขัดขืนอำนาจของกรรมได้ ทุกอย่างจะต้องเปลื่อนแปลงไปตามอำนาจ
ของกรรม สุดแต่กรรมนั้นจะเป็นธรรมหรือไม่ ตลอดแม้สรรพสิ่งทั้งหลาย ตั้งแต่สังขารร่างกายเป็นต้น
ย่อมเป็นอนิจจังจลาจล ผันแปรแตกสลายด้วยสรรพภัยพิบัติ ไม่มีสิ่งใดในวงวัฏฏ์จะทนทานเที่ยงคงธำรงอยู่
หากไม่มีปัญญาญาณก็ไม่สามารถจะหยั่งรู้ได้ถ่องแท้ ดังพกาพรหมที่จมอยู่ในห้วงแห่งกระแสสัสสตทิฏฐิ จึง
ทำให้เกิดความดำริไปในทางผิด คิดไม่ชอบขัดกับกัมมัสสกตาญาณ สมควรที่พระตถาคตเจ้าจักประทาน
พระสัทธรรมโปรดให้ปล่อยทิฏฐิอันเป็นโทษ ใช่ทางเกษมศานต์ ครั้นแล้วพระสัมพุทธเจ้าก็ทรงทำปฏิหาริย์
ขึ้นไปยังพรหมโลก เพื่อประทานธรรมวิโมกข์ด้วยพระมหากรุณา แล้วเสด็จพระพุทธลีลาไปยังวิมานอันเป็น
นิวาสสถานที่อยู่ของพกาพรหมผู้มีทิฏฐิวิบัติ

ตํ ทิสุวา เมื่อพกาพรหมได้เห็นพระผู้ทรงสวัสดิ์สัมพุทธเจ้าเสด็จมาถึงวิมาน ก็มีความชื่นบานเป็นอย่างมาก
ทูลอาราธนาสมเด็จพระผู้มีพระภาคให้เสด็จประทับ ณ พระแท่นที่อันวิจิตรตระการ ต่อนั้นก็แสดงความ
โสมนัสเบิกบานแห่งดวงจิตให้ปรากฏ ที่ได้เห็นพระบรมสุคตทรงพระกรุณาเสด็จมาถึงนิวาสสถาน แล้วสำ-
แดงออกซึ่งอหังการ มมังการ ด้วยอำนาจทิฏฐิว่า ข้าแต่พระสัมพุทธะ ที่พระองค์ตรัสสอนว่า สิ่งทั้งหลายไม่
เที่ยงเป็นทุกข์เป็นภัย เห็นจะผิด ข้าพระองค์เห็นว่า ทุกสิ่งจะต้องดำรงคงสภาพอยู่เป็นนิตย์ไม่เปลี่ยนแปลง
ไม่จำต้องแสวงหาธรรมอันใดมาปรุงแต่งให้เกิดสุข ปลดเปลื้องสรรพทุกข์แต่ประการใด ถ้าไปคิดเห็นว่า ทุกข์
ก็เกิดทุกข์ หากคิดเห็นว่าสุข ก็มีสุข ไม่เดือดร้อนทุกๆประการ

ลำดับนั้น พระบรมศาสดาจารย์จึงตรัสว่า ดูกรพกาพรหม เอย ! ท่านนี้อยู่ในพรหมโลกเสียเคยจึงมองไม่เห็น
ความทุกข์ เพราะโทษที่อยู่ในความสุขความสำราญ ทั้งขาดวิจารณญาณ เพ่งพินิจ จึงทำให้หลงผิดคิดไปว่า
สิ่งทั้งหลายเป็นของเที่ยงถาวร อันความจริงนั้น ทุกสิ่งจะแน่นอนมั่นคงอยู่ไม่ได้จะต้องเปลี่ยนแปลงไปตาม
อำนาจของเหตุทุกสิ่งต้องอยู่ภายในขอบเขตของกรรมเป็นผู้บันดาล

พกาพรหมก็โต้แย้งพระศาสดาจารย์ว่า หามิได้ ด้วยสิ่งทั้งหลายในโลกธาตุย่อมเกิดแต่อำนาจของมหาพรหม
ผู้เสกสร้างมาทั้งสิ้น แม้ฟ้าและดิน ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาว ที่สุดความร้อนความหนาว ลม ฝน
ทุกประการ ล้วนแต่มหาพรหมบันดาลให้เกิดมี ทุกสิ่งในโลกนี้มหาพรหมย่อมรู้แจ้งจบ สิ่งใดๆ ที่มหาพรหมจับ
ไม่พบ ไม่เห็น ไม่รู้มิได้มี แม้สิ่งนั้นจะอยู่ในพื้นปฐพีหรือท้องทะเลเวหาส มหาพรหมก็สามารถรู้เห็นไม่มีใครคิด
ทำซ่อนเร้นให้ลี้ลับถึงกับมหาพรหมจับไม่ได้

ครั้งนั้น สมเด็จพระจอมไตรใคร่จะทรมานพกาพรหมผู้มีจิตอหังการด้วยทิฏฐิวิบัติให้สำนึกว่า ตนเองยังเป็น
สัตว์ที่เวียนว่ายในสงสาร ยังมีน้ำใจเป็นพาลด้วยคิดผิด เพียงแต่เรืองฤทธิ์ในโลกก็โอหังฮึกเหิมว่า ตนรู้แจ้งจบ
สรรพวิชา จึงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่าดูกรพกาพรหม ! ถ้าท่านยังยืนยันว่าท่านเป็นผู้อุดมสยัมภูญาณยิ่งกว่า
เทวดาและมนุษย์ทั้งหมด ท่านจงสำแดงฤทธิ์ให้ปรากฎโดยอัตรธานกายหายไปจากที่นี่ ไปซุกซ่อนอยู่ในที่ซึ่ง
ตถาคตไม่สามารถจะรู้เห็นได้เมื่อใด เมื่อนั้นตถาคตจึงจะยอมให้ว่าท่านเป็นสยัมภูผู้ใหญ่ในบัดนี้

ความจริง พกาพรหมปรารถนาจะสำแดงอิทธิปาฏิหาริย์ของตนให้ประจักษ์แก่พระสัมพุทธเจ้า และบรรดา
พรหมทั้งหลายอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อได้โอกาสก็สำแดงอานุภาพกำบังกายหายไปจากที่นั่น แต่ก็ไม่พ้นพระ-
พุทธญาณหยั่งรู้ได้ ไม่ว่าจะไปซุกซ่อนในที่ใดพระพุทธเจ้าก็ทรงทราบและตรัสบอกได้ ที่สุดแม้พกาพรหม
จะนิรมิตรกายให้ละเอียดไปซ่อนเร้นอยู่ในเมล็ดทรายในท้องทะเลลึก โดยนึกว่าพระพุทธเจ้าจะไม่หยั่งรู้ แต่
สมเด็จพระบรมครูก็ทรงรู้ได้ตรัสบอกว่าขณะนี้ ท่านไปซ่อนอยู่ในเมล็ดทรายนั้นๆ พกาพรหมไม่สามารถจะ
กำบังปัญญาญาณของพระตถาคตเจ้าได้บังเกิดโทมนัสขัดใจที่หลบหลี้หนีไม่พ้น ที่สุดพกาพรหมก็คืนเข้า
ไปซ่อนอยู่ในวิมานของตน เป็นที่อดสูอย่างล้นพ้นแก่บรรดาพรหมทั้งหลาย แต่แล้วก็ระงับความละอาย
ออกมาเฝ้าสมเด็จพระสัมพุทธเจ้าแล้วทูลว่า ข้าแต่พระสมณะชาวโลกยกย่องท่านว่าเป็นนาถะที่พึ่งด้วยพึงใจ
ถ้าพระองค์จะสามารถอันตรธานกายหายไป จนข้าพระองค์จะมองเห็นไม่ได้ นั่นแหละข้าพระองค์จึงจะสรร-
เสริญ นับถือว่าพระองค์คือสัพพัญญูผู้ควรเคารพบูชา

ภควา สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงทรงทำปาฏิหาริย์อันตรธานพระกายหายไปในที่เฉพาะหน้าแห่งบรรดา
มหาพรหม เสด็จประทับอยู่ในท่ามกลางประชุมพรหมสันนิบาต แต่ไม่มีพรหมองค์ใดจักสามารถเห็นพระองค์
ได้ ทั้งทรงแสดงพระธรรมเทศนา บรรดามหาพรหมทั่วหน้าได้ฟังแต่พระสุเสียงเพียงไพเราะเสนาะโสต แต่มิ
ได้เห็นพระรูปพระสคต พากันสงสัยประหลาดใจตะลึงลาน เลื่อมใสในพระพุทธปาฏิหาริย์ของพระบรมศาสดา

ครั้งนั้น พกาพรหมพยายามใช้กำลังทิพพจักษุและทิพพปัญญาสอดส่องค้นคว้าหาพระบรมศาสดาทั่วทุก
สถานตลอดโลกธาตุ ก็ไม่สามารถแลเห็นพระสัมพุทธเจ้าได้ จนใจจนปัญญา หมดกำลังที่จะค้นคว้าบอก
พรหมทั้งหลายว่า พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่ใดได้ ขณะนั้นสมเด็จพระจอมไตรก็ตรัสเรียกว่า ดูกรพกาพรหม
เราตถาคตกำลังเดินจงกรมอยู่บนเศียรเกล้าของท่านอยู่ในขณะนี้ ตรัสแล้วพระมหามุนีสุคตเจ้า ก็สำแดง
กายให้ปรากฏแก่มหาพรหมทั้งหลาย ด้วยพระอิริยบถเสด็จเดินจงกรมอยู่บนเศียรเกล้าของพกาพรหม
พรหมทั้งหลายต่างก็ยกกรประนมนมัสการชื่นชมอิทธิปาฏิหาริย์ที่สูงกว่าเทพดาและพรหมมารทั้งหมด
ทำให้พกาพรหมอัปยศหมดมานะยอมจำนน

ต่อมา สมเด็จพระทศพลก็เสด็จลงมาประทับนั่งบนพระพุทธอาศน์แล้วตรัสประภาษกับพกาพรหมว่า ดูกร
พกาพรหมเอ๋ย ! ท่านได้ละเลยสมาบัติเมื่อครั้งเป็นพระดาบส มาได้รับความสุขสมมโนรถในพรหมโลกเสีย
นานจำเนียนกาลนับได้หลายกัปป์หลายกัลป์ เมื่อครั้งแรกขึ้นมาบังเกิดอยู่ในชั้นเวหัปพละ แล้วจุติเลื่อนขึ้น
มาชั้นสุภกิณหกะถึง ๖๔ กัปป์ด้วยความชื่นชม ต่อมาได้จุติขึ้นมาอยู่ชั้นอาภัสสรพรหมตลอดการ
พกาพรหมเอ๋ย ! ท่านยังหารู้จักสถานที่บังเกิดของท่านไม่ จึงเกิดเป็นมิจฉาทิฏฐิไป น่าสังเวชเพราะท่านไม่
มีปัญญาหยั่งเห็นเหตุแห่งสมบัติและวิบัติที่ตนมีความกำหนัดและเบื่อหน่าย หมกมุ่นอยู่ในความสุขทั้งหลาย
ในพรหมโลก ห่างจากมรรคผลและวิโมกข์ที่เคยมุ่งหมาย กลับไปเห็นผิดคิดว่าสิ่งทั้งหลายเป็นของคงที่ถาวร
ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีบาปบุญอันใดมาตกแต่งให้สัตว์มีสุขมีทุกข์ ไม่มีกรรมใดๆจะมาทำนุกให้เปลี่ยนสถานะ
ผิดจากธรรมของพระอริยะที่กล่าวสอน พกาพรหมเอ๋ย ! แต่ปางก่อนท่านซิ บังเกิดเป็นมนุษย์ในสกุลพราหมณ์
ภายหลังเห็นโทษในเบญจกาม แล้วสละออกบวชเป็นดาบสบำเพ็ญพรตามฤาษีวิสัย มีจิตมั่นอยู่ในสมาบัติ
ภาวนา

สมัยหนึ่ง ท่านมีศรัทธาสร้างลำธารน้ำ ปล่อยน้ำเลี้ยงพ่อค้าเกวียน ๕oo ซึ่งอดน้ำใกล้จะถึงแก่ความตาย ให้
ทุกคนดื่มดับกระหายให้สดชื่นยั่งยืนชีวิต กลับไปโดยสวัสดี อีกครั้งหนึ่งพวกโจรมาโจมตีปล้นทรัพย์สมบัติ
ของชาวบ้านทั้งหลาย ใกล้ถึงแก่ความย่อยยับ ท่านยังกรุณาช่วยขับโจรทั้งหลายให้ความปลอดภัยแก่หมู่
มนุษย์ด้วยกุศลจิต อีกครั้งหนึ่งพญานาคกำลังจะฆ่าเหล่าพาณิชพ่อค้าเรือสำเภาในทะเลใหญ่ ท่านก็ช่วยกำจัด
พญานาคให้หนีไปด้วยเมตตา ให้บรรดาหมู่พ่อค้าได้รอดตายรวมเป็นกุศลมากมายที่ท่านได้ทำมา
ดูกรพกาพรหม ท่านอย่าประมาทจงใช้ปรีชาสามารถหยั่งเห็นอำนาจของบุญกรรมและบาปกรรม ที่ทำให้คน
มีฐานะสูงต่ำตามควรแก่เหตุ จงใช้ปัญญาสังเกตถึงความไม่จีรังยั่งยืนของสมบัติและความสุขทุกสถาน แม้แต่
อารมณ์ของใจก็ไม่ยืนนาน ล้วนเป็นสมุฏฐานที่ตั้งแห่งความไม่สงบสุข ยังสรรพกิเลสเป็นเหตุให้เกิดทุกข์
โทมนัส ซึ่งทำให้จิตห่างจากนิโรธสัจจ์บำบัดเข็ญ พกาพรหมเอ๋ย ! ท่านจงบำเพ็ญอัฏฐางคิกมรรค จำเริญ
อานุภาพธรรมช่วยพิทักษ์ความสงบจิตใจของท่านก็จักแนบสนิทเข้ากับพระนิพพาน โดยกาลไม่นานนี้แล

ในอวสานกาลเป็นที่จบลงแห่งพระธรรมเทศนา พกาพรหมก็ได้บรรลุพระโสดาปัตติผล แล้วน้อมศิโรราบกราบ
พระบาทยุคลโดยคารวะเป็นอันดีมอบตนเป็นสาวกของพระชินศรีศาสดาจารย์ พรหมทั้งหลายก็พากันแซ่ซ้อง
สาธุการว่า สมเด็จพระพิชิตมารทรงชำนะพกาพรหม ด้วยธรรมอุดมญาณวิเศษจัดเป็นมงคลอุดมเดช
ของพระบรมศาสดา .

 

จบตำนานพระพุทธรูป ปางโปรดพกาพรหม แต่เพียงนี้ .