ปางที่ ๕๓
ปางโปรดอาฬวกยักษ์
หรือ
ปางโปรดสัตว์

 

 

ลักษณะของพระพุทธรูปปางนี้

พระพุทธรูปปางนี้ อยู่ในพระอิริยาบถนั่งขัดสมาธิ พระหัตถ์ซ้ายหงายวางที่พระชานุ
พระหัตถ์ขวายกขึ้นเสมอพระอุระ จีบนิ้วพระหัตถ์เป็นอาการแสดงธรรม

พระพุทธรูปปางนี้ มีตำนาน ดังนี้

สมัยหนึ่ง เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันวิหาร ในพระนครสาวัตถี ครั้งนั้นพระเจ้าอาฬวี
กษัติริย์แห่งอาฬวีนครทรงเป็นนักนิยมไพรถือการล่าสัตว์ป่าเป็นกิจวัตร วันหนึ่งเป็นยามเคราะห์ร้ายของพระเจ้า-
อาฬวี พระองค์ขับม้าพระที่นั่งไล่ตามกวาง พลัดกับกองทหารติตามกวางไปพระองค์เดียว แม้ม้าพระที่นั่งจะ
หมดกำลังแล้ว ก็เสด็จลงจากม้า ทรงวิ่งขับกวางอยู่อีก ในที่สุดก็ไม่ทันกวาง ทรงอ่อนพระทัย เสด็จเข้าไปพัก
ในร่มไม้ไทรใหญ่ แต่บังเอิญไม้ไทรนั้นอยู่ในเขตหวงห้ามของอาฬวกยักษ์ ซึ่งได้รับประทานพรจากพระอิศวร
ให้จับกินคนและสัตว์ที่พลัดเข้ามาในร่มไม้ไทรนี้ได้ ดังนั้น พระเจ้าอาฬวีก็อยู่ในเกณฑ์ที่ต้องตกเป็นอาหารของ
อาฬวกยักษ์ แต่พระเจ้าอาฬวีมีประสงค์จะรักษาพระชนม์ชีพไว้ก่อน จึงทรงขอผ่อนว่า ถ้าปล่อยให้พระองค์กลับ
พระนคร พระองค์จะส่งคนมาให้เป็นอาหารอาฬวกยักษ์วันละ คนทุกวัน อาฬวกยักษ์ก็ยินดียอมปล่อยพระเจ้า-
อาฬวีตามพระประสงค์ และเตือนให้รักษาสัญญาที่ทรงประทานไว้ เมื่อพระเจ้าอาฬวีเสด็จกลับพระนครแล้ว ก็
ทรงประชุมอำมาตย์ราชบริพาร ตรัสเล่าเรื่องของพระองค์ที่ถูกยักษ์จับและจะต้องส่งคนไปให้ยักษ์กินแทนวัน
ละ คน ดังนั้น อำมาตย์ก็จัดการส่งนักโทษในเรือนจำไปให้อาฬวกยักษ์วันละ คน จนหมดนักโทษ สุดท้าย
ตกลงส่งเด็กไปให้วันละ คนอีก ในที่สุดหาเด็กไม่ได้ เพราะชาวเมืองพากันอพยพลูกหลานไปอยู่ต่างเมืองเสีย
สิ้น อำมาตย์ก็ต้องจับพระโอรสของพระอาฬวีส่งไป

บังเอิญในราตรีก่อนวันที่เจ้าพนักงานจะจัดส่งพระโอรสของพระเจ้าอาฬวีนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบด้วย
พระญาณ จึงทรงพระกรุณาเสด็จไปยังที่อยู่ของอาฬวกยักษ์โดยมุ่งพระทัยจะทรงทรมานอาฬวกยักษ์ให้สิ้น
ความดุร้าย

ครั้นอาฬวกยักษ์กลับมาถึงวิมารในราตรีนั้น เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าก็โกรธด้วยมานะทิฏฐิแรงกล้า เห็นไปว่า
พระสมณโคดมมาลบหลู่ดูหมิ่นเกียรติของตน แทนที่จะค่อยพูดค่อยจาถามไถ่ถึงเหตุที่มาถึงที่อยู่ ในฐานะที่
ตนเป็นเจ้าของ กลับโอหังตึงตังเข้าใส่พระบรมศาสดา ถึงกับใช้อาวุธร้ายแรง ตามสันดานของพวกอสูรที่ไร้
คุณธรรม หากแต่ด้วยพุทธานุภาพ อาวุธทุกชนิดที่อาฬวกยักษ์ใช้ไปไม่เป็นผล กลายเป็นเครื่องสักการบูชา
พระผู้มีพระภาคเจ้าเสียสิ้น ในที่สุดยักษ์ก็หมดฤทธิ์ หมดเดชหยุดราวี เพียงแต่ใช้วาจาเรียกพระบรมศาสดา
ให้ลุกออกมาจากวิมานของตนเสีย

ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงพระกรุณาทำตามประสงค์ของอาฬวกยักษ์คือจะให้ลุกก็ทรงลุก จะให้ออก
ก็เสด็จออก จะให้เข้าก็เสด็จเข้า จะให้นั่งที่ใด ก็ประทับนั่งให้ตามประสงค์ ทไให้หัวใจอาฬวกยักษ์ผ่อนโหด
ร้ายลง ในที่สุดอาฬวกยักษ์ได้ทูลถามปัญหา พระบรมศาสดาได้ทรงพยากรณ์แก้ปัญหา ให้อาฬวกยักษ์เกิด
ปัญญาเห็นแจ้งในธรรมสิ้นความโหดร้าย ตั้งอยู่ในภูมิโสดาปัตติผล มอบตนลงเป็นทาสพระรัตนตรัย ตั้งมั่น
อยู่ในอริยธรรม พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทรมานอาฬวกยักษ์ตั้งแต่ย่ำค่ำจนรุ่งราตรี จึงสามารถยังน้ำใจอาฬ-
วกยักษ์ให้ยินดีในอริยธรรมตามพระประสงค์ได้ ในเช้าวันนั้นก็พอดีราชบุรุษพระนครอาฬวีอุ้มเอาพระราชกุ-
มารโอรสของพระเจ้าอาฬวีมาให้อาฬวกยักษ์กินเป็นอาหาร อาฬวกยักษ์รับเอาพระราชกุมารแล้ว ก็น้อมเข้า
ถวายพระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมกับกราบทูลว่า ข้าพระองค์ขอถวายพระราชกุมารน้อย ซึ่งพระเจ้าอาฬวีส่งมา
เป็นอาหารของข้าพระองค์ ด้วยข้าพระองค์เว้นขาดจากเบญจเวรสิ้นเชิงแล้ว

พระบรมศาสดาทรงรับพระกุมาร แล้วตรัสอนุโมทนาแก่อาฬวกยักษ์ และทรงอวยพรแก่พระราชกุมาร พร้อม
กับประทานคืนให้อำมาตย์ นำพระราชกุมารกลับพระนครเพื่อถวายพระเจ้าอาฬวี ครั้นอำมาตย์นำพระราช-
กุมารกลับนครแล้ว เกียรติศัพท์เกียรติคุณพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ฟุ้งขจรไปทั่วว่า พระผูมีพระภาคทรงพระกรุณา
เสด็จมาระงับภัยพิบัติแก่พระนครอาฬวี ชาวเมืองทั้งสิ้นต่างก็มีความปีติยินดี พากันจัดเครื่องสักการะต่างๆนำ
ไปบูชา ขณะนั้นพระบรมศาสดาทรงพระกรุณาพาอาฬวกยักษ์มาพระนครอาฬวีพอถึงสถานที่ครึ่งทางสัญจร
ก็พบชาวพระนครมีพระเจ้าอาฬวีเป็นประมุขน้อมนำสักการะมาเฝ้าถวายอภิวาท สมเด็จพระบรมโลกนาถก็
ทรงหยุดประทับรับสักการบูชาพร้อมด้วยกับทรงพระกรุณาประทานพระธรรมเทศนาโปรด ให้ชาวเมืองเห็น
ทุกข์เห็นโทษในเบญจกรรม และทรงให้ชาวพระนครตั้งอยู่ในกัลยาณธรรมตามสมควรแก่วิสัย ประทาน
ธรรมให้เป็นสมบัติทั่วไปแก่ชาวนครอาฬวี ปลุกให้เกิดความเมตตาปรานีกันทั่วหน้าทั้งให้ชาวเมืองนับถือ
บูชาอาฬวกยักษ์ประหนึ่งว่า เป็นเทพารักษ์หลักพระนคร ครั้นประทานธรรมคุณากรสิ้นเสร็จ
พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จนิวัตนาการ กลับคืนพระเชตวันมหาวิหาร .

 

จบตำนานพระพุทธรูป ปางโปรดอาฬวกยักษ์ แต่เพียงนี้ .