ปางที่ ๕๑
ปางป่าลิไลยก์

 

ลักษณะของพระพุทธรูปปางนี้

พระพุทธรูปปางนี้ อยู่ในพระอิริยาบถนั่งบนก้อนศิลาห้อยพระบาททั้งสอง ทอดพระบาทน้อย ๆ
พระหัตถ์ซ้ายคว่ำวางบนพระชานุ พระหัตถ์ขวาหงายวางบนพระชานุ เป็นกิริยาทรงรับ
นิยมเรียกว่า " พระปางป่าเลไลยก์ "

พระพุทธรูปปางนี้นิยมสร้างเป็นพระบูชาสำหรับคนเกิดวันพุธกลางคืน นับเข้าในเวลาพระราหูตามพิธีทักษา
แม้คนที่มีอายุเข้าเกณฑ์ดวงชะตาพระราหูเสวยอายุ ก็นิยมบูชาพระปางนี้ถือเป็นพระประจำวันเทวดานพเคราะห์

พระปางป่าลิไลยก์นี้ เฉพาะที่เป็นขนาดใหญ่ ดูจะหาชมยากเห็นมีอยู่องค์หนึ่งในพระวิหารวัดป่าเลไลยก์
จังหวัดสุพรรณบุรี สูงถึง ๑๑ วา เป็นพระงามมากองค์หนึ่งทั้งยังบริบูรณ์ดีอยู่ เป็นพระสมัยอยุธยา อยู่ใกล้
ทางไปจังหวัดสุพรรณบุรี ผู้มีใจเป็นกุศลผ่านไปน่าจะแวะเข้าไปนมัสการ

ความจริง พระปางนี้คนที่สร้างขึ้นไว้สำหรับบูชา ส่วนมากนิยมสร้างช้างป่าเลไลยก์และลิงร่วมอยู่ด้วย
โดยเหตุที่พระพุทธรูปปางนี้ จะได้นามว่าพระปางป่าเลไลยก์ ก็เพราะช้างป่าเลไลยก์เชือกนี้ ดังนั้น
จึงมีธรรมเนียมให้สร้างช้างหมอบถวายกระบอกน้ำอยู่แทบพระบาท และลิงนั่งถวายรวงผึ้งเป็นนิมิตร

พระพุทธรูปปางนี้ มีตำนาน ดังนี้

ครั้งหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จประทับอยู่ที่โฆสิตาราม ในเมืองโกสัมพี ทรงพระปรารภถึงพระภิกษุมากรูป
ด้วยกัน เป็นผู้ว่ายาก , วิวาทกัน , ไม่อยู่ในโอวาท ประพฤติตามใจตัวด้วยอำนาจมานะทิฏฐิ ทรงพร่ำสอนด้วย
ประการต่างๆแม้อย่างนั้นแล้ว พระพวกนั้นก็ไม่เอื้อเฟื้อ ไม่เคารพในพระโอวาท ยังวิวาทกัน เป็นฝักเป็นฝ่ายไม่
สามัคคีกัน

พระบรมศาสดา ยังได้แสดงผลดีของการเคารพเชื่อฟังในพระโอวาท โดยทรงเล่าเรื่องทีฆาวุกุมารประทานเป็น
ตัวอย่างโดยพิศดารแล้วทรงประทานโสภณธรรม คือธรรมที่ทำให้งาม ประการ คือ ขันติ ความอดกลั้น และ
โสรัจจะ ความเสงี่ยมเจียมตัว พร้อมด้วยทรงเตือนซ้ำอีกว่า พวกเธอก็บวชในพระธรรมวินัยที่ตถาคตได้กล่าว
ไว้ดีอย่างนี้แล้วก็ชอบที่จะเป็นคนอดทน , ประพฤติตามคำสอน , และ เสงี่ยมเจียมตนอยู่ในโอวาทจะได้เป็นผู้
งามในธรรมวินัยนี้ แม้พระบรมศาสดาจะได้ทรงพระกรุณาพร่ำสอนถึงอย่างนี้แล้ว ก็ไม่สามารถจะทำให้สงฆ์
สองพวกนั้นปรองดองดีกันได้

นี้แหละสมกับคำที่นักปราชญ์กล่าวว่า คนตามืดยังพอสอน คนใจมืดแล้วสอนไม่ได้ เพราะคนที่ใจมืดด้วย
โมหะ , มานะ , ทิฏฐินั้น ไม่ยอมรับโอวาท คนอย่างนี้ไม่มีใครสอนได้ ดูเถิด แม้แต่พระพุทธเจ้า ประทับสอน
อยู่ตรงหน้า เขาก็มองไม่เห็น , ฟังไม่ออก , นรกเท่านั้นที่จะเตือนสติเขาให้สำนึกผิด

ต่อมาพระบรมศาสดาทรงดำริว่า การอยู่ร่วมด้วยพระดื้อด้านพวกนี้ลำบาก มีพระประสงค์จะเสด็จหลีกไปอยู่
ลำพังพระองค์เดียว จึงได้เสด็จเข้าไปบิณฑบาตในเมืองโกสัมพี ไม่ทรงแจ้งให้พระภิกษุสงฆ์ทราบ ทรงบาต
จีวรของพระองค์เองโดยลำพัง เสด็จไปยังพาลกโลณการาม ทรงแสดงเอกจาริกวัตร
(ระเบียบของการจาริกไปคนเดียว) แก่พระภคุเถระในที่นั้น จากอารามนั้นแล้วเสด็จไปแวะที่ปราจีนวังสะมฤค-
ทายวัน ตรัสอานิสงส์สามัคคีรสประทานแก่กุลบุตร คน แล้วเสด็จเข้าไปประทับที่ร่มไม้ภัทระสาละพฤกษ์
ในราวไพรรักขิตวัน โดยผาสุกวิหาร

สมัยนั้น มีพญาช้างเชือกหนึ่งชื่อ ปาลิไลยกะ เป็นเจ้าแห่งโขลงช้างใหญ่เกิดเบื่อหน่ายบริวารช้างทั้งหลาย
คิดว่า อยู่ร่วมด้วยบริวารช้างเหล่านี้เป็นความลำบาก ทุกครั้งที่น้าวกิ่งไม้หักลงมา บรรดาช้างพลาย , ช้างพัง
ช้างตะกอ , และลูกช้าง ก็แย่งกันหักยอดไม้กินเสียหมด คราวลงสู่บึงน้ำใส ช้างเหล่านี้ก็พากันลงทำให้น้ำขุ่น
ต้องกินน้ำขุ่น ต้องเบียดเสียดกับช้างทั้งหลายไม่มีความสะดวกสบาย มีความประสงค์จะอยู่โดดเดี่ยวโดย
ลำพัง ครั้นเวลากลางคืนเมื่อช้างทั้งหลายหลับแล้ว พญาช้างปาลิไลยกะ ได้หนีออกจากโขลงแต่เชือกเดียว
หาความสุขโดยลำพัง ครั้นเดินเที่ยวมาในชัฏป่าใหญ่ถึงที่ประทับของพระผู้มีพระภาค มีความเลื่อมใสในพระ-
ผู้มีพระภาค นับแต่แรกที่ได้มองเห็นแต่ไกล จึงเดินเข้ามาใกล้หมอบถวายบังคมแทบพระยุคลบาทด้วยความ
เคารพรักพร้อมกับมอบกายถวายชีวิตรับเป็นภาระอยู่อุปัฏฐากพระพุทธเจ้าตลอดเวลา เริ่มต้นตั้งแต่หักกิ่งไม้
มาปัดกวาดบริเวณนั้นให้สะอาด ถอนทิ้งต้นหญ้าและไม้เล็กไม้น้อยในบริเวณนั้นให้เตียน ไปตักน้ำใช้น้ำฉัน
มาถวายให้พระผู้มีพระภาค ได้สรงได้เสวยตามพระพุทธประสงค์อย่างสะดวกสบายจัดหาผลไม้สุกในป่าเช่น
กล้วยและขนุนมาถวายเวลาพระพุทธเจ้าเสด็จไปบิณฑบาตในเวลาเช้า ก็เอาบาตรตามไปส่งพระพุทธเจ้า
แทบประตูป่า และรออยู่จนพระพุทธเจ้าเสด็จกลับ รับบาตรจากพระหัตถ์ ตามพระพุทธเจ้ามาจนถึงที่ประทับ
ปฏิบัติบำรุงพระพุทธเจ้าตามวิสัยของตนเป็นอย่างดีทุกประการ ครั้นเสร็จกิจปฏิบัติประจำวันแล้ว ก็หักกิ่งไม้
ท่อนหนึ่งมาเป็นอาวุธ คอยพิทักษ์รักษามิให้สัตว์ร้ายมากล้ำกลายตลอดเวลา

พระผู้มีพระภาค เสด็จประทับอยู่ด้วยความสงบสุข โดยอาศัยพญาช้างปาลิไลยกะบำรุงรักษา เพราะเหตุนี้
ชัฏป่านี้จึงได้นามว่า "รักขิตวัน" ตั้งแต่นั้นมา

วันหนึ่ง พญาลิงตัวหนึ่งเที่ยวมาตามยอดไม้โดยลำพัง และเห็นพญาช้างทำงาน ปฏิบัติพระพุทธเจ้าด้วย
ความเคารพเป็นอย่างดีเช่นนั้น ก็พอใจ เกิดมีความกุศลจิตคิดจะเข้าไปปฏิบัติพระพุทธเจ้าบ้าง เฝ้านั่งมอง
ดูอยู่ว่าเราควรจะทำอะไรดี ทันใดนั้นเองมองเห็นรวงผึ้งจับอยู่บนปลายไม้ มีน้ำผึ้งรวงเต็มอยู่ ก็ดีใจคิดว่า
น้ำผึ้งรวงนี้มนุษย์ชอบกินกัน ด้วยเคยเห็นพรานป่าพยายามขึ้นต้นไม้หักเอารวงผึ้งชนิดนี้ไปเสมอๆเราควร
จะเอารวงผึ้งนี้แหละไปถวายพระพุทธเจ้า ด้วยแปลกจากผลไม้ที่พญาช้างถวายอยู่แล้ว ครั้นคิดเช่นนั้นแล้ว
ก็ปีนป่ายขึ้นยอดไม้ หักเอารวงผึ้งลงมา ไล่ตัวออกหมดแล้วก็น้อมเข้าไปถวายพระพุทธเจ้าด้วยศรัทธา แล้ว
นั่งเฝ้ามองดูอยู่ว่า พระพุทธเจ้าจะทรงพระกรุณาเสวยหรือไม่ ครั้นเห็นพระพุทธเจ้าน้ำผึ้งรวงจากรวงผึ้งที่ตน
น้อมถวาย ก็มีความยินดีเบิกบานใจ กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจว่า ตนมีส่วนได้ทำบุญถวายน้ำผึ้งพระ-
พุทธเจ้า มีความร่าเริงใจกระโจนจากกิ่งไม้นี้ ไปจับกิ่งไม้โน้น แสดงความยินดีตามวิสัยสัตว์ที่ได้ทำบุญ
สมความประสงค์

การที่พระศาสดาได้เสด็จประทับอยู่ในป่ารักขิตวัน โดยลำพังพระองค์เดียว อยู่ด้วยการทำนุบำรุงของพญา-
ช้างปาลิไลยกะนี้ ได้ปรากฎเป็นเรื่องสำคัญ รู้กันทั่วไปในชมพูทวีป

หลังจากพระผู้มีพระภาค เสด็จจากโฆสิตาราม มาประทับอยู่ป่ารักขิตวันแล้วไม่นาน อุบาสกอุบาสิการวมทั้ง
คนใจบุญชาวเมืองโกสัมพีเป็นอันมาก ได้เข้าไปพระวิหารเพื่อเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นไม่พบ และได้สืบ
ถามได้ความดีแล้วต่างคนก็ต่างมีความน้อยใจ พากันตำหนิติเตียนพระพวกนั้นเป็นอย่างมากว่า พวกท่านบวช
ในสำนักพระศาสดา เมื่อพระศาสดาประทานโอวาทแนะนำให้สามัคคีกัน ก็ดื้อ , ไม่อยู่ในพระโอวาท ร้ายมาก ,
ทำให้พระองค์ต้องเดือดร้อน หลบหนีไปอยู่ป่าแต่พระองค์เดียว ให้พวกฉันขาดจากบุญกุศลที่ควรจะได้ถวาย
บังคมและได้ฟังธรรมจากพระองค์ เพราะพวกท่านเป็นเหตุ ตั้งแต่นี้ไปพวกฉันจะไม่บำรุงท่าน จะไม่ต้อนรับ
จะไม่ไหว้ ไม่กราบ จะไม่ทำดีต่อทุกๆประการ แล้วต่างก็เพิกเฉยหันหลังให้ภิกษุเหล่านั้น

เมื่อพระเหล่านั้นไม่ได้รับการบำรุงจากคนทั้งหลาย ไม่กี่วันก็ซูบผอมเพราะอดอยากปากแห้ง , หมดแรงดื้อด้าน
เล็งเห็นโทษของการทะเลาะ โทษของการที่ไม่อยู่ในพระโอวาท หัวโตเป็นเปรตไปตามๆกัน ถูกไฟนรกใน
มนุษย์บีบคั้น สิ้นพยศร้าย ต่างรูปต่างยอมรับผิด ยอมอดโทษให้แก่กันและกันและปฤพติดีต่อกันเป็นปกติ แล้ว
พากันเข้าไปหาอุบาสกอุบาสิกาเหล่านั้นสารผิดว่า ท่านทั้งหลาย บัดนี้ข้าพเจ้าสามัคคีกันแล้ว ขอท่านทั้งหลาย
จงอุปถัมภ์บำรุงอย่างแต่ก่อนเถิด ก็พระคุณท่านได้ทูลขอให้พระศาสดาทรงอดโทษให้แล้วหรือยังเล่า ?
ยังท่านอุบาสก ถ้าเช่นนั้น พระคุณท่านจงไปทูลขอให้พระองค์ทรงอดโทษให้เสียก่อน เมื่อพระศาสดาทรงอด
โทษให้แล้วพวกกระผมจึงจะถวายการอุปถัมภ์บำรุงเช่นเดิม บังเอิญเวลานั้นยังอยู่ภายในพรรษา พระพวกนั้นไม่
อาจไปเฝ้าพระศาสดาได้จำต้องอดใจ ทนต่อการลงโทษของอุบาสกอุบาสิกาด้วยการให้อดอยากปากแห้งจน
ออกพรรษาด้วยความทุกข์ยากอย่างยิ่ง

ครั้นออกพรรษาแล้ว บรรดาตระกูลเศรษฐีคฤหบดีใหญ่ๆในพระนครสาวัตถี มีท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี และ
ท่านมหาอุบาสิกาวิสาขาเป็นต้น ได้ส่งหนังสือมาถวายพระอานนท์เถระพุทธอุปัฏฐากว่า ขอให้พระอานนท์
ได้กราบทูลอาราธนาพระบรมศาสดาให้เสด็จไปพระนครสาวัตถีให้ด้วย แม้ภิกษุตามชนบทต่างๆประมาณ
๕oo รูป ก็พากันเดินทางไปหาพระอานนทเถระ วอนว่า ท่านอานนท์ นานแล้วพวกกระผมไม่ได้ฟังธรรมจาก
พระผู้มีพระภาค ขอท่านได้กรุณาให้พวกกระผมได้เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเพื่อฟังธรรมด้วยเถิด พระเถระเจ้า
ได้พาภิกษุเหล่านั้นเดินทางไปยังป่ารักขิตวัน ครั้นถึงป่านั้นแล้วกลับคิดได้ว่า เรายังไม่ควรจะพาภิกษุทั้งหมด
เข้าไปเฝ้าพระศาสดา ซึ่งเสด็จประทับอยู่ลำพังพระองค์เดียวก่อนที่ยังมิได้กราบทูลขอประทานโอกาส จึงให้
พระทั้งหมดนั้นพักอยู่นอกป่าก่อน แล้วพระเถระเจ้าได้เข้าไปเฝ้าพระบรมศาสดาแต่องค์เดียว
พอช้างปาลิไลยกะแลเห็นพระเถระเจ้าก็เอื้อมงวงหยิบท่อนไม้วิ่งเข้าใส่ทันที พระศาสดาทอดพระเนตรเห็น จึง
รับสั่งว่า หยุด ! ปาลิไลยกะ อย่าห้ามท่านเลย ท่านเป็นพุทธอุปัฏฐาก ช้างปาลิไลยกะวางท่อนไม้ทันที เดินตรง
ไปขอรับบาตรจีวร พระเถระเจ้าไม่ยอมให้ ช้างปาลิไลยกะคิดว่า ถ้าท่านรูปนี้มีการศึกษาขนบธรรมเนียมมาดี
แล้วจะต้องไม่วางบริขารของตนลงบนแผ่นหินที่ประทับของพระศาสดา ครั้นเห็นพระเถระเจ้าวางบาตรจีวรของ
ท่านบนพื้นดินก็มีความเลื่อมใส ถวายความเคารพรักใคร่ในพระเถระเจ้าเป็นอันดี

พระเถระเจ้าถวายบังคมพระศาสดาแล้ว นั่งอยู่ในที่อันควรข้างหนึ่ง พระศาสดาตรัสถามว่า อานนท์ , เธอมารูป
เดียวเท่านั้นหรือ มากับพระ ๕oo รูป พระเจ้าข้า ก็แล้วพระเหล่านั้นอยู่ที่ใหนเล่า ข้าพระองค์ยังไม่ทราบพระ -
ประสงค์ จึงได้ให้ท่านพักรออยู่ข้างนอก พระเจ้าข้า ให้เขาเข้ามาพบได้ อานนท์ ! พระเถระเจ้าได้จัดให้เป็นไป
ตามพระบัญชา ครั้นภิกษุทั้งหลายได้เข้าเฝ้า ได้รับการปฏิสันถารจากพระศาสดาเป็นอันดีแล้ว ได้กราบทูล
สรรเสริญพระศาสดาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์เป็นพระพุทธเจ้าเป็นกษัตริย์สุขุมาลชาติ เสด็จประทับ
อยู่พระองค์เดียวโดยลำพังตลอดไตรมาสอย่างนี้ ทำได้ยากยิ่ง พระเจ้าข้า ผู้ถวายการปฏิบัติก็ดี ผู้ถวายน้ำบ้วน
พระโอษฐ์ก็ดี เห็นจะไม่มี พระเจ้าข้า

พระศาสดาทรงรับสั่งว่า ภิกษุทั้งหลาย ธุรกิจของฉันทุกอย่างช้างปาลิไลยกะเขาช่วยทำให้ ความจริง การอยู่
ร่วมกันควรจะได้เพื่อนเช่นนี้ เมื่อหาเพื่อนเช่นนี้ไม่ได้เที่ยวไปคนเดียวดีกว่า แล้วทรงแสดงธรรมโปรดภิกษุ
เหล่านั้น โดยคาถาว่า :-

ถ้าบุคคลได้สหายที่มีความรู้ รักษาตัวได้ มีปัญญารักจะอยู่ร่วมกับคนดี เป็นเพื่อนร่วมทางเขาก็ควรจะยินดี
มีสติย่ำยีอันตรายรอบๆข้างทั้งปวงเสีย แล้วเที่ยวไปกับสหายผู้นั้น ถ้าหากไม่ได้สหายเช่นนั้น ก็ควรทำตน
ดังพระราชาที่ทรงละแว่นแคว้นเสด็จเที่ยวไปแต่ลำพังองค์เดียว เหมือนพญาช้างมาตังคะ เที่ยวไปในป่าโดย
ลำพังฉะนั้น การเที่ยวไปคนเดียวดีกว่าเพราะคนพาลเป็นสหายไม่ได้ (คนพาลคบใครไม่จริง) ในรูปการณ์
เช่นนี้ควรจะเที่ยวไปคนเดียว และไม่ควรกระทำบาป ควรจะเป็นผู้มีความขวนขวายน้อย เหมือนพญาช้าง-
มาตังคะ มีความขวนขวายน้อย เที่ยวไปในป่าตามลำพังฉะนั้น .

ในเวลาจบคาถาธรรมภาษิต ภิกษุ ๕oo รูปเหล่านั้น ได้ดำรงอยู่ในอรหัตธรรม .

พระอานนทเถระเจ้าได้กราบทูลพระศาสดาว่า เวลานี้อริยสาวกในนครสาวัตถี ประมาณ โกฏิ มีท่านอนาถ-
บิณฑิกกะเป็นประมุข ได้ส่งสาส์นแจ้งว่า ท่านมีความหวังเป็นอย่างมากต่อการเสด็จไปของพระองค์
พระศาสดาทรงรับสั่งว่า ถ้าเช่นนั้นก็ควรจะไป อานนท์ เตรียมการไปได้แล้ว ทันใดนั้น พญาช้างปาลิไลยกะ
ได้เดินเข้าไปขวางทางไว้ ภิกษุเหล่านั้นได้ทูลถามว่า ช้างป่าลิไลยกะมีความประสงค์อะไร พระเจ้าข้า เขา
มีความหวังจะใคร่ถวายภักษาแก่พวกเธอ ภิกษุทั้งหลาย , ปาลิไลยกะได้อุปการะฉันมาเป็นเวลานานไม่ควร
จะขัดใจเขา กลับกันเสียก่อนเถิดภิกษุทั้งหลาย , ครั้นรับสั่งแล้ว ทรงพาพระทั้งหลายกลับเข้าไปประทับยังที่
เดิม ต่อนั้น ช้างปาลิไลยกะก็เข้าป่ารวบรวมผลไม้ต่างๆมีขนุนและกล้วย เป็นต้น ขนไปยังที่พัก ครั้นรุ่งขึ้นได้
จัดถวายภิกษุทั้งหมด ปรากฎว่าหลังจากภิกษุสงฆ์ฉันอิ่มแล้ว ผลไม้ยังเหลืออยู่อีกเป็นอันมาก

ครั้นเสร็จภัตตกิจแล้ว พระศาสดาก็ทรงนำพระสงฆ์ทั้งหลาย เสด็จดำเนินออกจากที่นั้น ช้างปาลิไลยกะได้เดิน
ตามพระศาสดาออกไปพร้อมกับพระสงฆ์ทั้งหลาย ครั้นเดินไปได้หน่อยก็ยืนขวางทางข้างหน้าพระศาสดาอีก
ภิกษุทั้งหลายทูลพระศาสดาว่า ช้างปาลิไลยกะมีความประสงค์อะไรฯ พระเจ้าข้าฯ เขาต้องการจะให้ส่งพวก
เธอไปแล้วขอให้ฉันกลับน่ะซีฯ ถึงอย่างนั้นเจียวหรือพระเจ้าข้าฯ ใช่ , เขาไม่ประสงค์จะให้ฉันจากไปฯ ลำดับ
นั้นจึงได้ตรัสกับช้างปาลิไลยกะว่า ปาลิไลยกะ , ฉันไปครั้งนี้แล้วจะไม่กลับมาอีกในชาตินี้เธอจะยังบรรลุฌาน,
วิปัสสนา , หรือมรรคผลอะไรๆไม่ได้หรอก ? ปาลิไลยกะอย่าคิดอะไรให้มากน๊ะ ช้างปาลิไลยกะฟังพระพุทธเจ้า
ตรัสแล้วหลีกทางให้เสด็จไป ตนเองเอางวงยัดเข้าไปในปาก ร้องไห้เดินตามหลังพระศาสดาไป ความจริงช้าง-
ปาลิไลยกะมีความยินดีที่จะปฏิบัติพระศาสดาตลอดชีวิตของเขาด้วยความเคารพ

ครั้นพระศาสดาเสด็จถึงคามุปจาร (เขตแดนหมู่บ้าน) นั้น จึงหันพระพักตร์มาปราศรัยด้วยช้างปาลิไลยกะว่า
ปาลิไลยกะ , ตั้งแต่ที่ตรงนี้ไปไม่ใช่ดินแดนของเธอเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ มีอันตราย หยุดแต่เพียงเท่านี้
เถอน๊ะ ปาลิไลยกะ แล้วทรงนำพระสงฆ์ดำเนินต่อไป ช้างปาลิไลยกะยืนร้องไห้ มองดูพระศาสดาอยู่ ณ ที่นั้น
พอพระศาสดาลับสายตาไป ช้างปาลิไลยกะก็พลันหัวใจวายล้มลงตาย ณ ที่นั้นทันที ด้วยกุศลแห่งความเลื่อม
ใสในพระศาสดา ปาลิไลยกะก็ได้บังเกิดเป็นเทพเจ้าในสรวงสวรรค์มีนามว่า "ปาลิไลยกะเทพบุตร" ส่วนพระ-
ศาสดาเมื่อเสด็จไปโดยลำดับ ก็ถึงพระเชตวันวิหาร ในพระนครสาวัตถีโดยสวัสดี

เมื่อภิกษุชาวเมืองโกสัมพีพวกนั้น ทราบข่าวว่าพระศาสดาเสด็จถึงเมืองสาวัตถีแล้วก็ดีใจ พร้อมกันเดินทาง
ไปเฝ้า เพื่อขอให้พระองค์ทรงอดโทษให้ ครั้นพระเจ้าปเสนทิโกศลทราบข่าวว่า พวกภิกษุที่ก่อความแตกร้าว
ในโกสัมพีกำลังเดินทางเข้ามาก็เสด็จไปทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันจะไม่ยอมให้
พระพวกนั้น เข้ามายังแว่นแคว้นของหม่อมฉันฯ พระศาสดาตรัสว่า มหาบพิตร ! พระเหล่านั้นมีศีลเพราะการ
วิวาทกันอย่างเดียวจึงไม่รับโอวาทของอาตมา แต่บัดนี้เธอรู้สึกผิดชอบแล้ว พากันมาประสงค์จะให้อาตมา
อดโทษให้ ขอให้พระเหล่านั้นมาเถิด มหาบพิตร , แม่ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ผู้สร้างวัดเชตวันวิหาร ก็ได้เข้า
เฝ้ากราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้ามิให้พระพวกนั้นเข้าวิหารเช่นเดียวกัน ครั้นพระผู้มีพระภาค ทรงชี้แจงให้เป็น
ที่เข้าใจดีแล้ว ก็อนุวัตรตามพระบัญชา

เมื่อพระชาวเมืองโกสัมพีเหล่านั้นมาถึงเมืองสาวัตถีแล้ว พระศาสดาก็โปรดให้จัดเสนาสนะที่สงัดในส่วนข้าง
หนึ่งให้เป็นที่พัก บรรดาพระสงฆ์ต่างถิ่นทราบเรื่องนี้เข้าก็ไม่นั่งร่วม ไม่ยืนร่วมด้วยพระสงฆ์เหล่านี้ พระต่างถิ่น
ที่มาเฝ้าพระศาสดาอีกก็พากันทูลถามว่าพระพวกใหน พระเจ้าข้า ที่ก่อความแตกร้าวกันขึ้นในเมืองโกสัมพี
พระศาสดาตรัสบอกว่า พวกนี้แหละภิกษุ พวกนี้แหละภิกษุ ตลอดเวลาที่ภิกษุพวกนั้น ถูกพระศาสดาชี้พระหัตถ์
ตรัสบอกว่าเป็นพวกก่อความแตกร้าวอยู่เช่นนี้ ได้รับความอัปยศมาก ไม่อาจยกศีรษะขึ้นมองดูอะไรๆได้
หมอบลงกราบแทบพระยุคลบาทพระบรมศาสดา ทูลขอให้พระองค์ทรงกรุณาอดโทษให้

พระศาสดาตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอทำกรรมหนักมาก พวกเธอบวชในสำนักพระพุทธเจ้าอย่างฉัน และ
เมื่อฉันเตือนให้สามัคคีกัน พวกเธอก็ดื้อไม่ทำตาม เป็นความผิดหนักมาก แล้วทรงแสดงอานิสงส์ของการเป็น
ผู้ว่าง่าย การอยู่ในโอวาท ให้เกิดประโยชน์มาก ได้ทรงแสดงเรื่องพระเจ้าทีฆาวุ ที่ทรงมั่นอยู่ในพระโอวาท
ของพระชนก ภายหลังได้เป็นกษัตริย์ปกครองราชสมบัติทั้งสองแว่นแคว้น แล้วตรัสพระธรรมเทศนาโดย
พระคาถาว่า :-

คนเหล่านั้นเขาไม่มีความรู้สึกอย่างไร แต่พวกเธอกำลังย่อยยับ , ป่นปี้ , เมื่อคนเหล่าใด ในหมู่นั้น เกิดรู้จริง
เห็นแจ้งว่า พวกเรากำลังวอดวาย เมื่อนั้นความทะเลาะกัน วิวาทกัน ก็ย่อมสงบลงได้ เพราะการปฏิบัติถูกของ
คนเหล่านั้น

ในเวลาจบพระโอวาท ภิกษุที่ประชุมอยู่ ณ ที่นั้น ได้ดำรงอยู่ในอริยผลเป็นอันมาก .

 

จบตำนานพระพุทธรูป ปางป่าลิไลยก์ แต่เพียงนี้ .