ปางที่ ๕o
ปางโปรดพญาชมพูบดี
หรือ
ปางทรงเครื่อง

 

ลักษณะของพระพุทธรูปปางนี้

พระพุทธรูปปางนี้ ของเดิมอยู่ในพระอิริยาบถนั่งขัดสมาธิตามปกติ
พระหัตถ์ซ้ายหงายวางบนพระเพลา พระหัตถ์ขวาคว่ำวางบนพระชานุ
แบบปางมารวิชัย ต่างแต่ทรงเครื่องต้นอย่างพระมหากษัตริย์ไทย
เรียกกันว่า ปางทรงเครื่อง ก็มี

พระทรงเครื่องเข้าใจว่าเดิมคงจะมีแต่ปางเดียว คือปางนี้ ปางอื่นยังไม่เห็นมีที่ใหน
ครั้นพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯทรงสร้างปางห้ามพระญาติขึ้นไว้ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
(โบสถ์พระแก้ว) คนจึงพอใจสร้างตามกันดกดื่นและได้เปลี่ยนสร้างปางอื่นๆขึ้นเป็นแบบทรงเครื่องอีกหลาย
ปางด้วยกัน บัดนี้ดูเหมือนจะคลายความนิยมสร้างพระทรงเครื่องลงมากแล้ว

พระพุทธรูปปางนี้ มีตำนาน ดังนี้

ไปปฐมโพธิกาล มีพระมหากษัตริย์พระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า พระเจ้าชมพูบดี พระมเหสีทรงพระนามว่า
พระนางกาญจนาเทวี ครองเมืองปัญจาลนคร พระองค์เป็นกษัตริย์ที่มีบุญญาธิการมาก ด้วยพระองค์ทรงอาวุธ
วิเศษเป็นอำนาจเหนือกษัตริย์น้อยใหญ่ทั้งหลาย ถึง อย่าง คือ ศรวิเศษ เรียกว่า "วิษสร" ฉลองพระบาทแก้ว
และจักรแก้ว มีกษัตริย์ในพระในนครต่างๆยอมถวายดอกไม้เงินดอกไม่ทองเป็นเมืองขึ้นมาก ยังไม่มีกษัตริย์
นครใด ใกล้เคียงจะหาญเข้ามาต่อต้านได้ พระองค์ปรารถนาความยิ่งใหญ่ไม่ทรงรู้จักพอเช่นเดียวกับคนสามัญ
ทั่วไป เมื่อทรงเห็นกษัตริย์นครใดมีราชสมบัติมากมีฤทธิ์น้อย ก็ทรงใช้วิษสรไปร้อยพระกรรณเอามาหมอบกราบ
แทบพระบาทให้เป็นเมืองขึ้น

วันหนึ่งเป็นวันพระจัทร์เพ็ญ พญาชมพูบดีทรงทอดพระเนตรเห็นดวงจันทร์งามสว่างอยู่ท่ามกลางหมู่ดาวใน
ท้องฟ้า ก็ทรงเทียบพระองค์ว่า พระองค์ก็ควรจะมีเดชานุภาพล่วงกษัตริย์ทั้งหมดในชมพูทวีป เหมือนพระจันทร์
มีรัศมีล่วงดาวทั้งหลายฉะนั้น ทรงเบิกบานพระทัยด้วยความหวังแน่ในพระทัยเป็นอันมาก จึงทรงฉลองพระบาท
แก้วเหาะไปในอากาศ ทอดพระเนตรดูหัวเมืองทั้งหลายในชมพูทวีป ครั้นเสด็จมาถึงพระนครราชคฤห์ ทรงเห็น
ยอดปราสาทสูงสล้างงามยิ่งนัก ก็ทรงจินตนาการว่า ปราสาทของใครหนอ งามยิ่งกว่าปราสาทของเรา ก็ทรง
พระพิโรธด้วยความริษยา จึงได้เสด็จลงมายกพระบาทขึ้นกะทืบเพื่อจะให้หักทลายลง แต่ด้วยอนุภาพของพระ-
พุทธเจ้าคุ้มครองรักษา ในฐานะที่พระเจ้าพิมพิสารเป็นพระอริยสาวก เป็นผู้เข้าถึงพระรัตนตรัยอย่างใกล้ชิด
ยอดปราสาทของพระองค์ก็ไม่รู้สึกสะเทือน ดูประหนึ่งว่าเป็นเหล็กกล้า สามารถต่อต้านการกระทบรุนแรงได้
ทุกประการ พญาชมพูบดีทรงกระทืบเท่าใดๆยอดปราสาทก็มิได้หวั่นไหว และในขณะเดียวกันพระบาทของ
พญาชมพูบดีกลับแตก พระโลหิตไหลออกโทรมพระบาท พญาชมพูบดีเจ็บพระบาทยิ่ง ทรงพิโรธชักพระแสง-
ขรรค์ออกฟันจนสุดพระกำลัง ยอดปราสาทก็หาได้หวั่นไหวแต่ประการใดไม่ แต่พระแสงขรรค์กลับบิดงอไม่
ยอมต่อต้าน พญาชมพูบดีทรงเสียพระทัยและกลับทวีความโกรธขึ้นเป็นอันมาก รีบเสด็จกลับโดยทรงพระดำริ
จะใช้วิษสรมาร้อยพระกรรณเจ้าของปราสาทนี้ไป ครั้นเสด็จมาถึงพระนครแล้วก็ทรงใช้วิษสรให้ไปเอากษัตริย์
ในนครราชคฤห์มาโดยเร็ว

วิษสรจากแล่งแล่นออกไปในอากาศโดยเร็ว ส่งเสียงร้องกัมปนาทเป็นที่หวาดหวั่นของคนและสัตว์ที่ได้ยินทั่ว
กัน พระเจ้าพิมพิสารได้ทรงสดับเสียงก็สะดุ้งพระทัยกลัว รีบเสด็จออกจากปราสาทไปเฝ้าพระบรมศาสดาที่พระ-
เวฬุวันวิหารแต่เช้าตรู่ เพื่อขอประทานความคุ้มครอง

เมื่อวิษสรมาถึงปราสาทก็เข้าค้นคว้าหาพระเจ้าพิมพิสาร ครั้นไม่พบก็ทำลายกำภูฉัตร์กระจัดกระจายแล้วก็ติด
ตามออกไปยังพระเวฬุวันวิหารแผดเสียงสะเทือนสะท้านน่าสะพึงกลัวอย่างยิ่ง ครั้นพระผู้มีพระภาคเห็นวิษสร
เข้ามารุกรานเช่นนั้น ก็ทรงนิรมิตรพุทธจักร แล้วส่งให้ออกไปขับไล่ พุทธจักรมีอานุภาพยิ่งกว่า แล่นออกไปไล่
ทุบวิษสรให้สิ้นฤทธิ์แล้วก็กลับคืน เมื่อวิษสรพ่ายแพ้พุทธจักรแล้วก็รีบหนีคืนเข้าแล่งศรพญาชมพูบดี

ครั้นพญาชมพูบดีเห็นวิษสรพ่ายแพ้มาเช่นนั้น ก็โทมนัส ถอดฉลองพระบาทแก้วออกทั้งคู่ สั่งให้ออกไปมัดพระ-
เจ้าพิมพิสารเอาตัวมาทันทีฉลองพระบาทแก้วทั้งคู่ ได้กลายเป็นพญาวาสุกรีแผ่พังพานเลื้อยแล่นไปโดยนภา-
กาศร้องส่งเสียงดังสนั่นเหมือนฟ้าร้อง ครั้นถึงเมืองราชคฤห์มหานครแล้ว ก็ตรงเข้าค้นคว้าหาพระเจ้าพิมพิสาร
เมื่อไม่พบก็พากันทำลายราชบัลลังก์เสียย่อยยับแล้วก็แล่นออกจากปราสาทติดตามพระเจ้าพิมพิสารไปยัง
พระเวฬุวันวิหาร

ครั้นพระผู้มีพระภาคทรงเห็นนาคราชของพญาชมพูบดี ติดตามมารุกรานถึงพระเวฬุวันวิหารเช่นนั้น ก็ทรงนิร-
มิตรพญาครุฑให้โบกบินออกไปขับไล่นาคราชทั้งคู่ให้กลับคืนไปยังปัญจาลนคร เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงขับ
ไล่วิษสรและนาคราชให้หนีไปแล้ว ก็ทรงพิจารณาดูอุปนิสัยของพญาชมพูบดีทรงเห็นว่าท้าวเธอมีอุปนิสัยสูง
ควรจะบรรลุพระอริยผลชั้นสูงได้แล้ว จึงตรัสเรียกท้าวสักกะเทวราชให้ลงมาเฝ้า แล้วทรงแจ้งพระประสงค์จะ
จะทรมารพญาชมพูบดีผู้มีพระทัยหลงใหลใฝ่ฝันอยู่แต่ในราชสมบัติของพระมหากษัตริย์ โดยพระองค์จะนิร-
มิตรพระองค์เป็นพระเจ้าราชาธิราช ให้พระสงฆ์เป็นเสวกามาตย์ราชบริพาร ให้พระเวฬุวันวิหารกลายเป็นพระ-
ราชนิเวศสถานไปชั่วขณะหนึ่ง ขอให้ท้าวสักกะเทวราชเป็นราชทูตไปเอาตัวพญาชมพูบดีมาเฝ้ายังพระเวฬุ-
วันวิหาร

ครั้นท้าวสักกะเทวราชทราบพระพุทธประสงค์แล้วก็จำแลงเพศเป็นราชทูตที่สง่างามด้วยอาภรณ์งามวิจิตร
สูงด้วยค่ามากยิ่งกว่าเครื่องอาภรณ์ของพญาชมพูบดี แล้วเสด็จเข้าไปยืนปรากฎพระกายที่ปราสาทหน้า
พระพักตร์พญาชมพูบดี ในท่ามกลางอำมาตย์ราชบริพารที่เฝ้าแหนกันอยู่พร้อมพรั่งแล้วทรงเปล่งสุรเสียง
ร้องทูลว่า ดูก่อนพญาชมพูบดี บัดนี้พระเจ้าราชาธิราชเจ้านายของข้าพเจ้ามีพระบัญชาให้ข้าพเจ้าเชิญ
ตัวท่านไปในวันนี้

พญาชมพูบดีทรงพิโรธด้วยเห็นราชทูตเจรจาไม่เคารพนบนอบก็ร้องตวาด แล้วทรงขว้างจักรแก้วให้ไปประ-
หารชีวิตทันที เมื่อท้าวสักกะเห็นจักรแก้วของพญาชมพูบดีส่งเสียงทำอำนาจดังลั่นมาเช่นนั้น ก็ทรงขว้าง
จักรของพระองค์ออกไปกำจัด จักรของพระอินทร์ได้แล่นออกไปทำลายจักรของพญาชมพูบดีให้พ่ายแล้ว
และกระชากพระบาทพญาชมพูบดีให้ตกจากพระแท่นที่ประทับและลากไปตามพื้นถึง ๑๒ วา ทั้งกลับกลาย
เป็นเปลวไฟเผาปราสาทลุกลามทั่วไปในพระราชนิเวศน์

บรรดาเสวกามาตย์ราชบริพารพากันตกตะลึง ด้วยกลัวไฟวิ่งวุ่นกระจัดกระจาย แม้พญาชมพูบดีก็ยอมพ่ายแพ้
แก่ราชทูต รับจะทำตามประสงค์ทุกประการ ต่อนั้นพระอินทร์ก็เรียกจักรของพระองค์กลับคืน ทันใดนั้นเปลว
เพลิงที่ลุกลามไหม้ปราสาทก็ดับลงทันที ไม่มีสิ่งใดเสียหาย ทุกสิ่งคงตั้งอยู่เป็นปกติ พญาชมพูบดีขอผัดสัก
เดือนก่อนจึงจะไป แต่ท้าวสักกะไม่ยินยอม เพียงแต่ผ่อนให้เตรียมตัวได้ วัน และก่อนที่จะเสด็จไปได้ทรง
สำทับว่า ถ้าพญาชมพูบดีบิดพริ้วไม่ไปตามกำหนด ต้องให้มาตามก็จะเผาเมืองเสียให้ราบเป็นหน้ากลอง แล้ว
ก็เสด็จกลับไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ

พระผู้มีพระภาคได้ทรงนิรมิตรพระเวฬุวันวิหาร เป็นพระราชนิเวศน์พร้อมด้วยปราสาทกำแพงแก้ว ชั้น วิจิตร
พิศดารเพียบพร้อมด้วยตลาดบก ตลาดน้ำ งดงามไม่มีนครใดเสมอ เพื่อต้อนรับพญาชมพูบดีผู้มัวเมาในราช-
สมบัติกัับทรงให้พระอัครสาวกและพระมหาสาวกนิรมิตรกายเป็นเสนาบดีผู้ใหญ่เข้าเฝ้าประจำอยู่ในตำแหน่ง
ให้พญากาฬนาคราช และนางวิมาลามเหสีมาจัดตลาดน้ำ ให้ท้าวสักกะเทวราชพร้อมด้วยนางสุธรรมมา
นางสุจิตรา นางสุนันทา นางสุชาดา และพญาครุฑ มาจัดตลาดเพรชรนิลจินดา ตลาดทอง ตลาดเงิน ตลาด
ผ้าสรรพาภรณ์ ตลาดอาหาร ตลาดลูกไม้ ตลาดดอกไม้นานาประการงดงามเป็นระเบียบเรียบร้อย เป็นที่เจริญ
ตาเจริญใจของทุกคนที่ได้เห็น หาสถานที่ใดงามเสมอเหมือนมิได้

ครั้นถึงวันกำหนดนัดหมาย พญาชมพูบดีก็เสด็จขึ้นช้างพระที่นั่งพร้อมด้วยจตุรงคเสนายกพลมาโดยลำดับ ทั้ง
ตั้งพระทัยว่า ถ้าเห็นว่ามีกำลังพอจะบีบบังคับพระเจ้าราชาธิราชได้ ก็จะจัดการเอาเป็นเมืองขึ้นทันที

ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงนิรมิตรพระวรกายเป็นพระเจ้าราชาธิราช ทรงเครื่องต้นสำหรับพระมหากษัตริย์อัน
วิจิตรงดงาม ขึ้นประทับบนรัตนบัลลังก์เสด็จประทับอยู่ในท่ามกลางมหาอำมาตย์ราชเสนาบดี ณ ท้องพระโรง
รัตนมหาสมาคม มีพระบัญชาให้มาฆสามเณรไปย่นทางเดินอันมีระยะยาวถึง ๖o โยชน์ ที่พญาชมพูบดีเสด็จมา
ให้สั้นเข้า เพื่อให้พลันถึงในเวลานี้

มาฆสามเณรรับพระพุทธบัญชาแล้วก็ออกไปนอกพระวิหาร ย่นมรรคาให้พญาชมพูบดีพร้อมด้วยพระยา ๑o๑
กับจตุรงคเสนา เดินทางมาถึงชานพระนครที่นิรมิตรแต่เช้า ครั้นแล้วจึงแปลงเพศเป็นราชทูตเข้าไปหาพญา-
ชมพูบดีร้องเชิญว่า บัดนี้พระองค์เสด็จมาถึงพระนครแล้ว ควรจะเสด็จลงจากคอช้างพระที่นั่ง แล้วเสด็จดำ-
เนินเข้าพระนครด้วยพระบาท

เมื่อพญาชมพูบดีขัดขืนก็แสดงอานุภาพฉุดช้างพระที่นั่งให้ล้มลง พญาชมพูบดีเกรงเดชานุภาพ ก็จำใจปฏิบัติ
ตามโดยเสด็จดำเนินตามมาฆสามเณรเข้าพระนคร ขณะที่เสด็จเข้าพระนคร พอทอดพระเนตรเห็นท้าวจตุ-
โลกบาลคุมทหารพร้อมด้วยศัตราวุธ รักษาพระนครก็เกรงขามพระทัย ครั้นเสด็จดำเนินเข้าไปผ่านตลาดทั้ง
หลาย ทอดพระเนตรเห็นสรรพวัตถุนานาประการก็ตลึงแลด้วยความพอพระทัย เห็นแม่ค้าทั้งหลายอันมีรูปร่าง
งาม ทั้งวิจิตรด้วยสรรพภรณ์ที่ตกแต่ง ทั้งวาจาปราศรัยร้องเชิญก็ไพเราะ ทำให้เพลิดเพลินมาฆสามเณรต้อง
คอยเตือนให้รีบเสด็จทุกระยะ จนบรรลุถึงที่ประทับของพระพุทธองค์ ทรงนิรมิตรรูปพระโฉมงามดุจท้าวมหา-
พรหม ประกอบด้วยพระรัศมีหกประการ ประทับอยู่บนรัตนบัลลังก์ ในท่ามกลางมุขอำมาตย์ราชเสนาบดี พร้อม
พหลโยธีเฝ้าอยู่ในหน้าที่ มือถือศัตราวุธอยู่พร้อมสรรพก็เกรงกลัวแทบว่าชีวิตจะออกจากร่างทรุดพระองค์ลง
นั่ง แม้อย่างนั้นแล้วก็ไม่ยอมถวายบังคม ด้วยอำนาจมานะทิฏฐิอันแรงกล้า เมื่อพระบรมศาสดาทรงให้โอกาส
ท้าวเธอแสดงฤทธิ์เดชบรรดามี พญาชมพูบดีก็แสดงจักรแก้ววิษสรและฉลองพระบาทแก้วอันเป็นอาวุธวิเศษ
คู่พระกรออกประทุษร้ายพระผู้มีพระภาคเป็นวาระสุดท้าย โดยหวังจะได้ชัยชนะ พระผู้มีพระภาคทรงนิรมิตร
จักรเพชรทำลายล้างอาวุธวิเศษให้ปราชัย ให้พญาชมพูบดีสลดใจยอมเกรงพระบารมี ต่อนั้นพระผู้มีพระภาค
ก็ตรัสธรรมเทศนาชำระอกุศลจิตของพญาชมพูบดีให้ผ่องใสด้วยอนุปุพพิกถาให้พญาชมพูบดีมีจิตศรัทธาใน
การกุศลถึงกับยอมมอบกายถวายชีวิตตนในพระศาสน าโดยขอบรรพชาอุปสมบท จึงสมเด็จพระสุคตอนาวร-
ญาณ ก็ทรงคลายอิทธาภิสังขาร บันดาลพระนครนิรมิตรให้กลับคืนเป็นพระเวฬุวันวิหาร พระองค์ก็กลายเพศ
จากพระเจ้าราชาธิราชเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บรรดาเหล่ามหาอำมาตย์ราชเสนาบดีก็กลายเพศเป็นพระ
สาวกสงฆ์ แวดล้อมองค์พระบรมศาสนา เหล่าเทพเจ้าตลอดครุฑนาคาก็พากันกลับคืนทิพยสถาน ต่อนั้น
พระศาสดาจารย์ก็ทรงประทานเอหิภิกขุอุปสัมปทาให้พญาชมพูบดีอุปสมบทเป็นพระภิกษุสงฆ์ ทรงจตุปาริ-
สุทธิศีลในพระพุทธศาสนา .

 

จบตำนานพระพุทธรูป ปางโปรดพญาชมพูบดี แต่เพียงนี้ .