ปางที่ ๔๙
ปางประทานอภัย

 

ลักษณะของพระพุทธรูปปางนี้

พระพุทธรูปปางนี้ มี แบบ คือแบบหนึ่งอยู่ในพระอิริยาบถยืน ยกพระหัตถ์ทั้งสองเสมอพระอุระ
ตั้งฝ่าพระหัตถ์ออกไปข้างหน้า (แบบห้ามพระญาติ)
อีกแบบหนึ่ง อยู่ในพระอิริยาบถนั่งขัดสมาธิ ยกพระหัตถ์ทั้งสองป้องเสมอพระอุระ
ตั้งฝ่าพระหัตถ์เข้าหากัน เบนออกไปข้างหน้าเล็กน้อย 
แบบนั่งสมกับเรื่อง จึงอยู่ในความนิยมของการสร้าง

พระพุทธรูปปางนี้ มีตำนาน ดังนี้

สมัยหนึ่งพระผู้มีพระเจ้าเสด็จประทับอยู่ที่อัมพวันสวนของหมอชีวกโกมารภัจจ์ ใกล้พระนครราชคฤห์
แคว้นมคธรัฐ เวลานั้นพระเจ้าอชาตศัตรูเป็นมหากษัตริย์ปกครองแคว้นมคธรัฐ แต่ความเป็นมหากษัตริย์
ของพระองค์ไม่สู้จะเรียบร้อย ด้วยเหตุ ประการ คือ พระองค์ทรงพระชนอายุน้อย ๒ ทรงเป็นขบถชิง
ราชสมบัติจากพระราชบิดา ทรงคบหานับถือพระเทวทัตต์เป็นอาจารย์ ดังนั้น จึงไม่ได้รับความนิยมนับ
ถือจากประชาราษฎร์โดยสมบูรณ์

เนื่องจากพระเจ้าอชาตศัตรูเป็นพระโอรสพระเจ้าพิมพิสาร ประสูติจากพระนางเจ้าเวเทหิ อัครมเหสี สมัย
เมื่อยังเยาว์พระชนมายุอยู่นั้น ดำรงศักดิ์เป็นรัชทายาท ได้รับความเอาใจจากพระบิดาและมารดา ตลอด
พระญาติผู้ใหญ่เสียจนเคยตัว ทรงทำอะไรตามพระทัยเสมอจนเป็นนิสัย เป็นเหตุให้ไม่อยู่ในพระโอวาท
เลือกหาครูอาจารย์ตามใจชอบ ข้อนี้เป็นเหตุให้สมาคมด้วยพระเทวทัตต์ จนนับถือและยกย่องพระเทวทัตต์
ขึ้นเป็นอาจารย์หาได้กราบทูลให้พระเจ้าพิมพิสาร พระชนกนาถให้ทรงทราบก่อนไม่ ยิ่งพระเทวทัตต์ตาม
ประวัติของท่าน ก็เป็นเจ้าชายสืบสายกษัตริย์พระนครเทวทหะมาแต่เดิมย่อมจักปฏิบัติงานให้ต้องพระทัย
อชาตสัตตุราชกุมารได้เป็นอย่างดี แล้วอย่างนี้ไฉนอชาตสัตตุราชกุมารจะไม่โปรด แปลว่าได้พระอาจารย์
ที่เคยเป็นเจ้าชายมีศักดิ์ศรีควรแก่การเคารพนับถือยิ่งนัก ดังนั้น เมื่อพระเทวทัตต์จะถวายโอวาทอย่างใดๆ
อชาตสัตตุราชกุมาร ก็ทรงเชื่อถือยินดีอยู่ในโอวาทของอาจารย์ด้วยความเคารพ

เมื่อพระเทวทัตต์ตกอยู่ในอำนาจของตัณหา มานะ ทิฏฐิื คิดมักใหญ่ใฝ่สูง มีความปรารถนาลามก คิดจะ
เป็นผู้ปกครองพระสงฆ์ ถึงกับได้ทูลขอพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อพระศาสดาไม่ทรงประทาน ด้วยทรงทราบ
สันดาร พาลของพระเทวทัตต์ที่ประพฤติตัวเลว เกินฐานะ พระเทวทัตต์ก็ไม่พอใจถึงอาฆาต ชักชวนพระ
ภิกษุบวชใหม่ มีความรู้น้อยให้มาเป็นพวก ถึงทำสังฆเภททำลายหมู่วงฆ์แยกคณะออกจากพระผู้มีพระภาค
ในที่สุด

ก็เมื่อพระเทวทัตต์มีนิสัยพาลอย่างนี้แล้ว ไฉนเมื่อได้เป็นอาจารย์อชาตสัตตุกุมารแล้วจะไม่คิดลามกยิ่งขึ้น
เพราะตั้งจิตไว้ผิดแต่แรกดังนั้นเมื่อได้โอกาสก็ถวายคำแนะนำให้อชาตสัตตุราชกุมารขบถ โดยให้ลอบปลง
พระชนม์ชีพพระเจ้าพิมพิสารพระราชบิดาเสีย เพื่อเป็นพระมหากษัตริย์ปกครองราชอาณาจักร หากจะรอไป
จนพระราชบิดาสวรรคตพระราชกุมารอาจสิ้นพระชนม์เสียก่อน เลยชวด ไม่ได้เป็นกษัตริย์ เมื่อพระกุมาร
ปลงพระชนม์พระเจ้าพิมพิสารแล้ว จะได้ขึ้นเป็นพระราชาปกครองราชอาณาจักร ส่วนพระเทวทัตต์เอง ก็
พยายามปลงพระชนม์พระสัมพุทธเจ้าแล้วก็จะขึ้นปกครองพระภิกษุสงฆ์ ถึงความเป็นใหญ่ในพุทธจักรสืบไป

ครั้นพระกุมารเชื่อถือพระเทวทัตต์ จึงได้ซ่อนกฤชลอบเสด็จเข้าไปในห้องผทมพระเจ้าพิมพิสารเพื่อปลง
พระชนม์พระบิดา แต่บังเอิญถูกราชบุรุษจับได้ พระเจ้าพิมพิสารทราบความประสงค์ของพระกุมาร ก็ทรง
พอพระทัยให้พระกุมารขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ จึงทรงลาออกจากราชสมบัติและทรงยกพระโอรสขึ้นเป็น
พระมหากษัตริย์ ปกครองราชอาณาจักรตามพระประสงค์

แม้เช่นนั้นแล้วพระเทวทัตต์ก็หาได้หยุดเพียงเท่านี้ไม่ เพราะมีนิสัยเป็นพาล ได้แนะนำให้พระเจ้าอชาต
สัตตุราช ปลงพระชนม์พระบิดาเสียอีก ชั้นต้นพระเจ้าอชาตศัตรูไม่ทรงทำตามเพราะไม่ทรงเห็นด้วย โดย
รับสั่งว่าพระบิดาก็ทรงเมตตา พระราชทานฐานันดรศักดิ์สูงสุดให้สมประสงค์เช่นนี้แล้ว

พระเทวทัตต์ก็ทูลว่า พระเจ้าพิมพิสารมีเจ้านายและข้าราชบริพารเคารพนับถือมาก หากปล่อยไว้ภายหลัง
ไม่ทรงพอพระทัยขึ้น ก็สามารถจะกำจัดพระองค์เสียเมื่อใดก็ได้ พระเจ้าอชาตศัตรูทรงเห็นตาม ในที่สุดก็
รับสั่งให้จับพระราชบิดาจำคุก และทรมารจนสิ้นพระชนม์ เป็นว่าได้ทรงทำปิตุฆาตุ อันเป็นอนันตริยกรรม
บาปอย่างมหันต์ เพราะการแนะนำของพระเทวทัตต์โดยแท้

ส่วนพระเทวทัตต์ ก็เริ่มวางแผนการทำร้ายพระพุทธเจ้า เมื่อปกครองพระภิกษุสงฆ์ด้วยสันดานพาล โดย
ทูลขอนายทหารแม่นธนู พระเจ้าอชาตศัตรูลอบส่งไปประทุษร้ายพระผู้มีพระภาคด้วยธนูอันกำซาบด้วย
ยาพิษหลายครั้งหลายหน แต่ด้วยพุทธานุภาพ นายทหารเหล่านั้นกลับเลื่อมใสในพระธรรมเทศนาแสดง
ตนเป็นอุบาสกนับถือพระรัตนตรัยเสียทุกคน

เมื่อไม่สมประสงค์ พระเทวทัตต์ก็ผูกใจเจ็บยิ่งขึ้น วันหนึ่งได้พยายามลอบขึ้นไปภูเขาคิชฌกูฎในเวลาเช้า
ขณะที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จลงมาโปรดสัตว์ ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จกลับขึ้นไป พระเทวทัตต์ได้
กลิ้งก้อนศิลาใหญ่ลงมาหมายจะล้างพระชนม์ชีพของพระผู้มีพระภาค แต่ด้วยพุทธานุภาพก้อนศิลาใหญ่
ก็หาได้ถูกต้องพระกายแต่อย่างใดไม่ เพียงแต่สะเก็ดหินชิ้นหนึ่งได้กระเด็นไปต้องพระบาทให้ห้อพระโลหิต
ขึ้นเท่านั้น แม้อย่างนั้นก็จัดว่าทำอนันตริกรรมบาปหนัก ด้วยการทำร้ายพระพุทธเจ้าจนถึงให้พระบาทห้อ
พระโลหิตขึ้น

แม้จะประทุษร้ายได้เพียงนั้นแล้ว พระเทวทัตต์ก็ยังไม่พอใจ เพราะปลงพระชนม์ไม่ได้ดังประสงค์ ต่อมา
จึงได้ทูลขอพระราชทานพญาช้างนาฬาคิรีซึ่งกำลังซับมันคลั่งและดุร้ายที่สุดโดยให้นายควาญช้างมอม
เหล้าถึง ๑๖ กระออม และสั่งให้ควาญช้างให้ปล่อยช้างทำร้ายพระพุทธเจ้า ยามเสด็จออกโปรดสัตว์ใน
เวลาเช้า แต่ด้วยพุทธานุภาพ พระพุทธเจ้าได้ทรงทรมานช้างให้สร่างเมาและหมอบถวายบังคมแทบ
พระยุคบาท และเดินกลับโรงช้างด้วยอาการอันสงบปรากฎแก่มหาชนเป็นอันมาก แทนที่ผลร้ายจะเกิด
แก่พระสัมพุทธเจ้า การกลับปรากฎเป็นผลดีแก่พระพุทธศาสนาเป็นเกียรติอันสูงแก่พระสัมพุทธเจ้า
มหาชนพากันลงโทษพระเจ้าอชาตศัตรูและพระเทวทัตต์ ขึ้นโพทนาติเตียนอย่างสาดเสียเทเสีย
เป็นอเนกประการ ซ้ำก่อความไม่สงบเป็นภัยแก่การบริหารพระนครอีกด้วย

เรื่องนี้ทำให้พระเจ้าอชาตศัตรูตกพระทัยมาก ทรงนึกถึงความผิดของพระองค์ที่ทรงหลงเชื่อถือ
พระเทวทัตต์ ซึ่งเป็นพาลขึ้นทันที ฉะนั้นเพื่อป้องกันเหตุร้ายอันจะพึงมีแก่ราชบัลลังก์ของพระองค์
จึงทรงตัดสินพระทัยเลิกคบค้าพระเทวทัตต์เด็ดขาด ตัดไทยทานอาหารที่ถวายการบำรุงพระเทวทัตต์
ตลอดบริษัทบริวารพระเทวทัตต์ออกเสียทุกประการ

เวลานั้น พระเจ้าอชาตศัตรูต้องทรงโทมนัสเป็นทุกข์ใจมาก พระองค์กลายเป็นบุลคลไม่มีศาสนา เป็น
บุลคลไม่มีหลักธรรมทางใจ ว้าเหว่ ทรงลำบากพระทัยมาก เพราะโดยปกติพระองค์ทรงมีพระปรีชา
ไม่ทรงเลื่อมใสลัทธิของครูทั้ง ซึ่งมหาชนพากันนิยมนับถืออยู่แล้ว ครั้นทรงหันมาทางพระเทวทัตต์
ก็ผิดหวังอีก เป็นการหนีเสือปะเจรเข้ ทำให้พระองค์รำลึกถึงพระพุทธเจ้า อยากจะไปเฝ้า ไปขอประทาน
อภัยโทษที่ทรงล่วงเกิน ไปขอประทานพระโอวาทซึ่งแน่พระทัยว่าพระพุทธเจ้าจะทรงพระกรุณาประทาน
ด้วยพระเมตตา แต่จู่ๆจะหันเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ก็ทรงรู้สึกขวยพระทัยเพราะทรงระลึกถึงความผิดที่ได้
ทรงทำไว้นั้น เป็นการสร้างพระองค์เป็นศัตรูต่อพระพุทธเจ้าอยู่ไม่น้อย คือ :-

๑ . การที่พระองค์ทรงปลงพระชนม์พระเจ้าพิมพิสารพระราชบิดาซึ่งเป็นพระโสดาบันสาวกของพระพุทธเจ้า
และเป็นผู้อุปถัม๓์พระพุทธศาสนาอย่างสำคัญนั้น เป็นการกระทบกระเทือนต่อพระพุทธเจ้า และการศาสนา
อย่างรุนแรง

๒ . การที่พระองค์พระราชทานนายทหารแม่นธนูแก่พระเทวทัตต์เพื่อส่งไปปลงพระชนม์พระพุทธเจ้าก็ดี
พระราชทานช้างนาฬาคิริแก่พระเทวทัตต์ เพื่อปล่อยไปประทุษร้ายพระุพุทธเจ้าก็ดี ย่อมบ่งชัดว่า พระองค์
ได้ทรงเป็นศัตรูต่อพระพุทธเจ้าอย่างหนัก

๓ . ตลอดเวลาที่พระองค์ทรงเป็นพระราชกุมารเป็นรัชทายาท และเป็นพระเจ้าแผ่นดินมา พระองค์ไม่เคย
เฝ้าพระพุทธเจ้า ไม่ทรงรู้จัก ไม่เคยบำรุงทั้งโดยตรงและโดยอ้อมแต่ประการใดเลย หันหลังให้พระพุทธ -
ศาสนาอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นการที่จะผลุนผลันไปเฝ้าพระพุทธเจ้าอย่างหาเหตุมิได้เช่นนั้นย่อมเป็นการผิด
วิสัยพระมหากษัตริย์อย่างพระองค์มาก พระองค์จะต้องรักศักดิ์ศรีโดยขัตติยะมานะเสมอด้วยพระชนม์ทีเดียว
เข้าหลักว่า "ทิฏฐิของพระ มานะของกษัตริย์" แก้ยาก อย่างไรก็ตามเมื่อพระองค์มีความรู้สึกว่าพระองค์
ประพฤติผิด แสดงว่ายังรักที่จะประพฤติถูก แปลว่ายอมให้แก้ ดังนั้นการแก้ก็ไม่ยาก เพียงแต่รอจังหวะอยู่
เท่านั้น

ต่อมา วันหนึ่งเป็นวันเพ็ญเดือนกัตติกมาส กลางเดือน ๑๒ ฤดูดอกโกมุทบาน พระเจ้าอชาตศัตรูเสด็จประทับ
อยู่ในท่ามกลางเสนามาตย์ราชบริพาร ณ พระมหาปราสาทชั้นบน ขณะนั้นพระองค์ทรงรับสั่งกะอำมาตย์
ทั้งหลายว่า ราตรีวันนี้มีดวงเดือนแจ่มกระจ่างน่ารื่นรมย์จริงๆน่าเบิกบานจริงๆวันนี้เราควรจะไปหาสมณะหรือ
พราหมณ์ผู้ใดดีหนอ ซึ่งพอที่จะให้เราผู้เข้าไปหาเกิดความเลื่อมใสสบายใจได้

ทันใดนั้นอำมาตย์ผู้หนึ่งได้กราบทูลว่า ขอเดชะท่านบุรณะกัสสปปรากฎว่าเป็นเจ้าหมู่ เจ้าคณะ เป็นคณาจารย์
มีชื่อเสียง มีเกียรติยศ เป็นเจ้าลัทธิ ชนส่วนมากยกย่องว่าดี เป็นคนเก่าแก่ บวชมานาน มีอายุล่วงกาลผ่านวัย
มาโดยลำดับ ขอเชิญพระองค์เสด็จเข้าไปหาท่านบุรณะกัสสปนั้นเถิด เห็นด้วยเกล้าว่า เมื่อพระองค์เข้าไปหา
แล้ว คงจะพอพระทัยแน่ เมื่ออำมาตย์นั้นกราบทูลแล้ว ท้าวเธอก็ทรงนิ่งอยู่

ต่อนั้น อำมาตย์อีก คน ได้กราบทูลเชิญให้พระอชาตศัตรูเสด็จไปหาท่านมักขลิโคศาล ท่านอชิต เกสกัมพล
ท่านปกุธะ กัจจายะ ท่านสัญชัย เวลัฏฐบุตร และท่านนิครณถ์นาฎบุตร ว่าทรงคุณสมบัติ ดังท่านบุรณะกัสสป
ควรที่พระองค์จะเสด็จไปหารวมความว่าอำมาตย์ทั้งซึ่งเป็นศิษย์ของครูทั้ง ต่างได้ยกย่องอาจารย์ของตน
เพื่อเทิดขึ้นให้เป็นที่เคารพของพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นเกียรติอันสูงสำหรับลัทธิของตน แม้อย่างนั้น ท้าวเธอ
ก็ทรงนิ่งอยู่

ความจริงครูทั้ง นั้น เป็นคณาจารย์ที่มีชื่อเสียงจริง แต่พระเจ้าอชาตศัตรูทรงรู้จักดีแล้ว ด้วยเคยเสด็จไปรเวศ
ไปสนทนาถึงสำนักครูทั้ง นั้นมาแล้ว ไม่ทรงเลื่อมใส ดังนั้น เมื่ออำมาตย์ทั้ง นาย กราบทูลจึงไม่ทรงศรัทธา
เพราะไม่ทรงเห็นด้วยจึงประทับนิ่งเสีย

เวลานั้น หมอชีวกโกมารภัจจ์ นั่งนิ่งอยู่ในที่เฝ้านั้นด้วย ท้าวเธอจึงมีพระดำรัสกะหมอชีวกโกมารภัจจ์ว่า
"ชีวก สหายรัก ทำไมจึงนั่งนิ่งไม่ออกความเห็นอย่างไรบ้างเล่า" เมื่อหมอชีวกได้โอกาสเช่นนั้น จึงกราบทูลว่า
ขอเดชะ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ขณะนี้เสด็จประทับอยู่ที่สวนอัมพวันของข้าพระพุทธเจ้า
พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๑,๒๕o รูป ขอเชิญพระองค์เสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น
เถิด เห็นด้วยเกล้าๆว่า เมื่อพระองค์เสด็จเข้าไปเฝ้าแล้ว คงจะพอพระหฤทัยแน่

ท้าวเธอจึงมีพระดำรัสว่า ชีวก สหายรัก ถ้าอย่างนั้น ท่านจงเตรียมคชยานไว้ หมอชีวกโกมารภัจจ์รับสนอง
พระราชโองการแล้ว ได้ออกมาเตรียมช้างพัง ๕oo เชือก และช้างพระที่นั่งเสร็จแล้ว ได้เข้าเฝ้ากราบทูลให้
ทรงทราบฯพระเจ้าอชาตศัตรูโปรดให้สตรีในราชสำนักแต่งกายปลอมเป็นบุรุษขึ้นช้างเชือกละ คน ด้วยใน
เวลานั้นการปกครองในพระนครไม่สงบ ไม่น่าวางใจ ท้าวเธอเสด็จขึ้นช้างพระที่นั่ง โปรดให้มวลราชบริพาร
ถือคบเพลิงเสด็จออกจากพระนครราชคฤห์ด้วยพระราชานุภาพอย่างยิ่งใหญ่ ตรงไปสวนอัมพวันของหมอ-
ชีวกโกมารภัจจ์ว่า ชีวกสหายรักท่านไม่ได้ลวงเราหรือ สหายรัก ท่านไม่ได้หลอกเราหรือ สหายรัก ท่านไม่ล่อ
เรามาให้ศัตรูหรือ เหตุไฉนเล่า ที่วิหารจึงเงียบสงัดพระอยู่ตั้ง ๑,๒๕o รูป ไง ! ไม่มีเสียงจาม เสียงกระแอม
เสียงสนทนากันบ้างเลย

หมอชีวกโกมารภัจจ์กราบทูลว่า ขอพระองค์อย่าได้ทรงหวาดกลัวอะไรเลย พระเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้าไม่ได้
ลวงพระองค์ ไม่หลอกพระองค์ไม่ได้ล่อพระองค์มาให้ศัตรูเลยพระเจ้าข้า นั่นประทีปที่พระวิหารกลมยังตาม
สว่างอยู่ ขออัญเชิญพระองค์เสด็จเข้าไปเถิด ลำดับนั้นพระเจ้าอชาตศัตรูได้เสด็จลงจากช้างพระที่นั่งแล้ว
เสด็จดำเนินเข้าประตูพระวิหารกลม พลางรับสั่งกะหมอชีวกโกมารภัจจ์ว่า ชีวก ! ไหนพระผู้มีพระภาค
หมอชีวกโกมารภัจจ์กราบทูลว่า ขอเดชะ นั่น พระผู้มีพระภาคประทับนั่งพิงเสากลางผินพระพักตร์ไปทางทิศ
บูรพา ภิกษุสงฆ์แวดล้อมอยู่ ลำดับนั้นท้าวเธอเสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ประทับยืนชำเลืองดูภิกษุสงฆ์
ซึ่งสงบนิ่งเหมือนห้วงน้ำใส ทรงพอพระหฤทัย ถึงกับทรงเปล่งพระอุทานว่า ขอให้อุทัยภัทรลูกของเราจงมี
ความสงบอย่างภิกษุสงฆ์เดี๋ยวนี้เถิด พระผู้มีพระภาคตรัสว่าดูกรมหาบพิตรพระองค์เสด็จมาทั้งความรักพระ-
โอรสด้วย ทรงทูลรับว่าเป็นความจริงอย่างพระผู้มีพระภาครับสั่งว่า พระเจ้าข้าอุทัยภัทร เป็นลูกที่รักของ
หม่อมฉัน ขอให้อุทัยภัทรลูกของหม่อมฉัน จงมีความสงบอย่างภิกษุสงฆ์เดี๋ยวนี้เถิด

นี้แสดงว่า อุทัยภัทรกุมาร พระโอรสของพระเจ้าอชาตศัตรู คงจะทรงดื้อ รักการอยู่ไม่สุข หาความไม่สงบ
ก่อความเดือดร้อน สร้างความลำบากใจให้แก่พระบิดาอยู่เนืองๆเป็นแน่ จึงทำให้พระราชบิดาต้องออกอุทาน
เมื่อได้ทรงเห็นพระภิกษุสงฆ์มีความเรียบร้อยอย่างคาดไม่ถึงเช่นนั้น

ครั้นพระเจ้าอชาตศัตรู ทรงถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค และประนมอัญชลีแก่พระภิกษุสงฆ์ แล้วเสด็จประทับ
นั่ง ต่อนั้นได้ทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันใคร่จะขอทูลถามปัญหาบางเรื่องสักเล็กน้อย ถ้าพระองค์จะ
ประทานพระโอกาสพยากรณ์ปัญหาแก่หม่อมฉัน

พระผู้มีพระภาคทรงตรัสว่า เชิญถามเถิดมหาบพิตร ถ้าทรงประสงค์

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์อาจบัญญัติผลแห่งสมณะปฏิบัติที่เห็นประจักษ์ในปัจจุบัน เหมือนอย่างการงาน
ที่ให้ผลประโยชน์แก่คนทำได้บ้างหรือไม่ พระเจ้าข้า

มหาบพิตร ทรงจำได้หรือไม่ว่า ปัญหาข้อนี้ มหาบพิตร เคยตรัสถามใครมาบ้างแล้ว

จำได้อยู่พระเจ้าข้า ท้าวเธอตรัสตอบ ปัญหาข้อนี้ หม่อมฉันได้เคยถามสมณพราหมณ์มาบ้างแล้ว

สมณพราหมณ์เหล่านั้นพยากรณ์ถวายอย่างไร พระผู้มีพระภาคทรงรับสั่ง ถ้ามหาบพิตรไม่หนักพระทัย ก็โปรด
ตรัสเถิด

ณ ที่พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ หม่อมฉันไม่หนักใจเลยพระเจ้าข้า

ถ้าอย่างนั้น มหาบพิตร ได้โปรดตรัสเถิด

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ครั้งหนึ่งในกรุงราชคฤห์นี้เอง หม่อมฉันได้ไปหาครูทั้ง มี ครูปูรณกัสสปะ เป็นต้น
ถึงที่อยู่ทั้ง สำนัก ได้ถามปัญหาข้อนี้มาแล้วถึง ครั้ง แต่ครูทั้ง นั้นหาได้พยากรณ์ตรงตามปัญหาไม่
หม่อมฉันถามถึงผลแห่งสมณะปฏิบัติที่เห็นประจักษ์ในปัจจุบัน ครูทั้ง พยากรณ์ไปเสียทางอื่น เหมือนถาม
ถึงมะม่วง ตอบขนุนสำมะละฉะนั้นหม่อมฉันดำริว่าคนอย่างเราจะพึงไปรุกรานสมณะหรือพราหมณ์ผู้อยู่ใน
ราชอาณาเขตเพื่อประโยชน์อันใด หม่อมฉันไม่ยินดี แต่ก็มิได้คัดค้านคำของท่าน ไม่พอใจ แต่ก็มิได้ออก
วาจาแสดงความไม่พอใจ ไม่เชื่อถือ ไม่ใส่ใจถึงถ้อยคำนั้น ลุกจากที่นั่งหลีกไป

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันขอทูลถามพระผู้มีพระภาคบ้างว่า พระองค์อาจบัญญัติผลแห่งสมณะปฏิบัติ
ที่เห็นประจักษ์ในปัจจุบัน เหมือนอย่างการงานที่ให้ผลแก่คนทำได้หรือไม่พระเจ้าข้า

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า อาจอยู่มหาบพิตร ต่อนั้นได้ทรงพยากรณ์ผลแห่งสมณะปฏิบัติ ที่เห็นประจักษ์
ในปัจจุบันอย่างวิจิตรพิสดาร (ผู้ประสงค์จะทราบโปรดดูสามัญญผลสูตรนั้นเถิด)

เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสพระธรรมเทศนาจบลงแล้ว พระเจ้าอชาตศัตรูได้กราบทูลแสดงความพอพระทัยว่า
พระธรรมเทศนาแจ่มแจ้งนัก พระเจ้าข้า , พระธรรมเทศนาแจ่มแจ้งดีมากพระเจ้าข้า , เหมือนหงายของที่คว่ำ,
เปิดของที่ปิด , บอกทางแก่คนหลงทาง , หรือเหมือนส่องตะเกียงในที่มืด ฉันใด พระผู้มีพระภาคทรงประกาศ
ธรรม โดยเอนกปริยาย ฉันนั้นเหมือนกันหม่อมฉันขอถึงพระผู้มีพระภาค , พระธรรม , และพระสงฆ์ว่าเป็นที่พึ่ง
ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงจำหม่อมฉันว่า เป็นอุบาสกผู้มีสมณะตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

ต่อนั้นท้าวเธอได้ทูลขอประทานอภัยโทษพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ โทษได้ครอบงำหม่อมฉัน
ซึ่งเป็นคนเขลาคนหลงไม่ฉลาด หม่อมฉันได้ปลงพระชนม์ชีพพระบิดาผู้ดำรงธรรม เป็นพระราชาโดยธรรม
เพราะเหตุแห่งความเป็นใหญ่ ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงรับทราบความผิดของหม่อมฉันโดยเป็นความผิดจริง
เพื่อสังวรต่อไปเถิด

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า เป็นความจริง มหาบพิตร , อาตมภาพขอรับทราบความผิดของมหาบพิตร ,
การที่บุคคลเห็นความผิดโดยเป็นความผิดจริง , แล้วสารภาพตามความเป็นจริง , รับสังวรต่อไปนี้ เป็นความ
ชอบในธรรมวินัยของพระอริยเจ้าแล

เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสประทานอภัยตามเยี่ยงอย่างพระอริยเจ้าอย่างนี้แล้ว ท้าวเธอได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระ-
องค์ผู้เจริญหม่อมฉันขอทูลลากลับ หม่อมฉันมีกิจอันจะต้องปฏิบัติมากพระเจ้าข้า , ตามสะดวกเถิดมหาบพิตร,
พระผู้มีพระภาคทรงรับสั่ง พระเจ้าอชาตศัตรูได้เสด็จลุกจากอาสนะ ถวายบังคมลาพระผู้มีพระภาค ทรงทำ
ประทักษิณแล้วเสด็จกลับพระราชนิเวศน์

เมื่อพระเจ้าอชาตศัตรูเสด็จกลับแล้ว พระผู้มีพระภาคตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า ภิกษุทั้งหลายพระราชาองค์นี้
ได้ถูกกรรมของพระองค์ราญรอนเสียแล้ว หากท้าวเธอจะไม่ปลงพระชนม์ชีพพระบิดาผู้ดำรงธรรม เป็นพระ
ราชาโดยธรรมแล้ว ธรรมจักษุอันปราศจากธุลีมลทิน คือพระโสดาปัตติผลจะเกิดแก่ท้าวเธอ ณ ที่ประทับนี้
ทีเดียว ภิกษุเหล่านั้นต่างชื่นชมยินดีในภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้าทั่วกัน .

 

จบตำนานพระพุทธรูป ปางประทานอภัย แต่เพียงนี้ .