ปางที่ ๔๑
ปางสรงน้ำฝน
ลักษณะของพระพุทธรูปปางนี้
พระพุทธรูปปางนี้ อยู่ในพระอิริยาบถยืน ทรงห่มผ้าวัสสิกสาฎกเฉวียงพระอังสา
พระหัตถ์ซ้ายห้อยลงข้างพระกาย ยกพระหัตถ์ขวาขึ้นลูบพระอุระ เป็นกิริยาสรงน้ำ
พระพุทธรูปปางนี้น่าจะเป็นปางเดียวกับปางขอฝน ทั้งเห็นมีแต่ในหอราชกรมานุสร (ของหลวง) เท่านั้น
พระพุทธรูปปางนี้ มีตำนาน ดังนี้
พระพุทธรูปปางสรงน้ำฝนนี้ นิยมสร้างเป็นพระขอฝน ส่วนมากจึงเป็นพระขนาดเล็ก สำหรับอัญเชิญเข้าไป
ประดิษฐานในพิธีมณฑลขอน้ำฝน ซึ่งจัดทำขึ้นในเวลาฝนแล้ง แม้ในงานพระราชพิธีพืชมงคล ทางราชการ
ก็นิยมอัญเชิญให้ไปประดิษฐานในพิธีนั้นด้วย
ครั้งหนึ่ง เมื่อพระสัมพุทธเจ้าเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันวิหารใกล้พระนครสาวัตถี ครั้งนั้น เมืองสาวัตถี
เกิดฝนแล้ง ชาวไร่ชาวนาตลอดชาวบ้านเดือดร้อนลำบากด้วยน้ำเป็นอันมาก วันหนึ่งบรรดาคนที่นับถือ
พระพุทธศาสนา มีคนที่ฉลาดคนหนึ่งดำริว่า ขึ้นชื่อว่าอนุภาพของพระพุทธเจ้าหามีอนุภาพอันใดเสมอเหมือน
ได้ หากพวกเราพร้อมกันไปเฝ้ากราบทูลให้ทรงทราบถึงความเดือดร้อน เชื่อว่าพระพุทธเจ้าผู้มากด้วย
พระมหากรุณาเสมอด้วยห้วงมหาสาคร จะทรงโปรดให้เราพ้นจากความเดือดร้อนนี้เป็นแน่ครั้นคิดเช่นนั้นแล้ว
จึงชักชวนคนเป็นอันมากไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้ายังที่ประทับ แล้ากราบทูลอาราธนาพระผู้มีพระเจ้าให้เสด็จ
ออกไปสรงน้ำฝนในที่แจ้ง ทั้งที่ขณะนั้นก็ยังไม่มีวี่แววว่าฝนจะตก ครั้นพระผู้มีพระภาคทรงอนุเคราะห์รับ
อาราธนา ทรงผลัดผ้าวัสสิกสาฎกแล้ว เสด็จออกไปประทับในที่แจ้ง เพื่อทรงสรงน้ำฝนตามคำอาราธนาของ
มหาชน ทรงทอดพระเนตรแลดูในทิศทางทั้งหลาย ด้วยพุทธานุภาพอันมหัศจรรย์ในทันใดนั้นมหาเมฆก็ตั้งขึ้น
ให้ฝนตกลงมาเป็นอันมาก นอกจากพระบรมศาสดาจะได้สรงน้ำฝน ณ ที่นั้นแล้ว มหาชนก็ได้พากันอาบดื่มกิน
เป็นสุขสำราญทั่วกันและโห่ร้องแสดงความยินดีกันทั่วพระนคร .
จบตำนานพระพุทธรูป ปางสรงน้ำฝน แต่เพียงนี้ .