ปางที่ ๓๗
ปางเสด็จลงจากดาวดึงส์
ลักษณะของพระพุทธรูปปางนี้
อยู่ในพระอิริยาบถยืน ยกพระหัตถ์ทั้งสองข้างขึ้นเสมอพระอุระ
แบบพระพุทธรูปปางห้ามพระญาติพิพาทกันในเรื่องน้ำในสมุทร
ต่างกันแต่จีบนิ้วพระหัตถ์ทั้งสองเป็นกิริยาแสดงธรรม
พระพุทธรูปปางนี้ มีตำนาน ดังนี้
ตำนานพระพุทธรูปปางนี้ มีตำนานพระพุทธรูปปางเปิดโลกและปางลีลา ซึ่งเป็นปางที่ ๓๕ ที่ ๓๖ รวมอยู่ด้วย
มีเรื่องเล่าติดต่อกันดังนี้
เมื่อพระบรมศาสดาเสด็จขึ้นไปประทับจำพรรษาในดาวดึงส์สวรรค์แสดงอภิธรรมโปรดพระพุทธมารดา
ครั้นเวลาจวนใกล้จะออกพรรษาเข้าแล้ว ประชาชนทั้งหลายที่ตั้งตาคอยจะเฝ้าพระบรมศาสดา จึงเข้าไปหา
พระมหาโมคคัลลานะเรียนถามว่า พระพุทธเจ้าจะเสด็จลงจากสวรรค์เมื่อใดและจะเสด็จลงที่ใหน เพื่อข้าพเจ้า
ทั้งหลายจะได้พากันไปเฝ้าพระองค์ ณ ที่นั้นพระมหาโมคคัลลานะเถระตอบว่า จะต้องขึ้นไปเฝ้าทูลถาม
พระบรมศาสดาดูก่อน ได้ความอย่างไรจากพระองค์แล้วจึงจะแจ้งให้ทราบ แล้วพระเถระก็แสดงอนุภาพ
แห่งสมบัติขึ้นไปสู่ดาวดึงส์พิภพ สำแดงกายให้ปรากฎแก่มหาชนในขณะขึ้นไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยฤทธิ์
แห่งอภิญญา
ครั้นพระเถระเจ้าเข้าไปเฝ้าพระบรมศาสดาแล้ว ก็กราบทูลตามเรื่องที่มหาชนมีความประสงค์
พระบรมศาสดารับสั่งว่า โมคคัลลานะ บัดนี้ สารีบุตรพี่ชายเธออยู่ ณ ที่ใด
พระโมคคัลลานะก็กราบทูลว่า เวลานี้พระสารีบุตรเถระเจ้าจำพรรษาอยู่ที่เมืองสังกัสสะนคร พระเจ้าข้า
ถ้าเช่นนั้นตถาคต ก็จะลงที่ประตูเมืองสังกัสสะนครในวันหมาปวารณา โมคคัลลานะจงแจ้งให้มหาชนทราบ
ตามนี้ผู้ใดประสงค์จะเห็นตถาคตก็จงพากันไปยังที่นั้นเถิด
พระมหาโมคคัลลานะรับพระพุทธบัญชาแล้ว ก็ลงมาแจ้งข้อความนั้นแก่ชนทั้งหลายผู้ต้องการทราบเรื่องนี้อยู่
ฝ่ายมหาชนทั้งหลาย ที่ตั้งใจคอยเฝ้าพระบรมศาสดาเสด็จลงจากดาวดึงส์สวรรค์ เมื่อได้ทราบข่าวจาก
พระโมคคัลลานเถระเจ้าก็ดีใจพร้อมกับออกเดินทางไปยังเมืองสังกัสสะนคร ประชุมกันอย่างคับคั่งตลอด
พระภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย อันมีพระสารีบุตรเถระเป็นประธาน มาประชุมกันต้อนรับพระศาสดาอยู่ ณ ที่นั้น
อย่างพร้อมเพรียง
ครั้นถึงวันปุรณมีแห่งอัสสยุชมาสเพ็ญเดือน ๑๑ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปวารณาพระวัสสาแล้ว ทรงรับสั่งแก่
ท้าวสักกเทวราชว่า ตถาคตจะลงไปสู่มนุสสโลกในวันนี้ เมื่อท้าวโกสีย์ทราบพระพุทธประสงค์แล้วจึงทรง
นิรมิตรบันไดทิพย์ ๓ บันได สำหรับพระพุทธดำเนินเสด็จลงสู่มนุสสโลก บันไดแก้วอยู่กลาง บันไดทอง
อยู่ข้างขวา บันไดเงินอยู่ข้างซ้าย เชิงบันไดทั้ง ๓ นั้น ประดิษฐานอยู่ภาคพื้นปฐพีที่ใกล้
ประตูเมืองสังกัสสะนคร ศีรษะบันไดเบื้องบนจรดยอดภูเขาสิเนรุราช บันไดแก้วนั้นเป็นที่พระผู้มีพระภาคเจ้า
เสด็จลง บันไดทองเป็นที่เทพดาทั้งหลายตามส่งเสด็จ บันไดเงินเป็นที่พรหมทั้งหลายตามส่งเสด็จ
ขณะนั้นเทพดาและพรหมทั้งหลาย ได้มาประชุมพร้อมกันบูชาพระผู้มีพระภาคเจ้าเต็มทั่วจักรวาล
เมื่อได้เวลาเสด็จ พระผู้มีพระภาคเจ้าก็เสด็จมาประทับยืนที่ฐานศีรษะบันได ในท่ามกลางเทพ พรหม
บริษัทสิ่งแวดล้อมเป็นบริวารจึงได้ทรงทำ "โลกวิวรณปาฏิหาริย์" เปิดโลก โดยพระอาการทอดพระเนตร
ไปในทิศต่างๆรวมทั้งเบื้องบนและเบื้องล่าง รวมเป็น ๑o ทิศด้วยกัน และด้วยพระพุทธานุภาพ ในทันใดนั้น
ทุกทิศทุกทางจะแลโล่งตลอดหมดไม่มีอันใดกีดกันเทวดาในสวรรค์จะมองเห็นมนุษย์ เห็นยมโลก เห็นนรก
และมนุษย์ก็มองเห็นเทวดาเห็นสัตว์นรก แม้สัตว์นรกก็มองเห็นมนุษย์ตลอดเทวดาในสวรรค์ไม่มีสิ่งใดปิดบัง
พระผู้มีพระภาคทรงทำปาฏิหาริย์เปิดโลก พร้อมกับเปล่งฉัพพัณณรังษีพระรัศมี ๖ ประการ เป็นมหาอัศจรรย์
(นี้เป็นมูลเหตุอันสำคัญให้สร้างพระพุทธรูปปางเปิดโลก)
ครั้งนั้น เทพดาในหมื่นจักรวาล ได้มาประชุมกันในจักรวาลนี้เพื่อชื่นชมพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำปาฏิหาริย์
พร้อมกันทำสักการบูชาสมโภชพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยทิพย์บุบผามาลัยเป็นเอนกประการ
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้เยื้องย่างลีลาเสด็จลงจากดาวดึงส์ โดยบันไดแก้วมณีมัยท่ามกลางเทพดาในหมื่น
จักรวาลมีท้าวสักกะเป็นต้น โดยบันไดทองสุวรรณมัยในเบื้องขวา ท้าวสหัมบดีพรหมกับหมู่พรหมเป็นอัน
มากลงโดยบักไดเงินหิรัญญมัยในเบื้องซ้าย ปัญจสิขรคนธรรมพ์เทพบุตร ทรงพิณมีสีดังผลมะตูมสุก
ดีดขับร้องด้วยมธุรเสียงอันไพเราะมาในเบื้องหน้าพระบรมศาสดา ท้าวสันตุสิตเทวราช กับ ท้าวสุยามเทวราช
ทรงทิพย์จามรถวายพระบรมศาสดาทั้ง ๒ ข้าง ท้าวมหาพรหมปชาบดีทรงทิพย์เศวตรฉัตรกั้นถวาย
พระบรมศาสดา ท้าวโกสีย์อมรินทราธิราชประคองบาตรเสลมัยถวายพระบรมศาสดา เสด็จเป็นมัคคุเทศก์นำ
พระบรมศาสดาลงมา ในท่ามกลางทวยเทพยดาแลพรหมทั้งหลาย พากันแวดล้อมแห่ห้อมเป็นบริวาร
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จลีลาลงจากดาวดึงส์สวรรค์โดยบันไดแก้วลงมาถึงเชิงบันได มหาชนทั้งหลาย
ได้เห็นพระรูปพระโฉมของพระผู้มีพระภาค ได้เห็นการเสด็จลีลาลงจากสวรรค์ในท่ามกลางเทพยดาและพรหม
เป็นอันมาก ครั้งนั้นงามจับอกจับใจอย่างที่ไม่เคยคิดเคยเห็นมาแต่ก่อน ก็พากันลิงโลดแซ่ซ้องสาธุการเสียง
สนั่นหวั่นไหว แม้แต่พระสารีบุตรพุทธสาวกยังได้กล่าวคาถาสรรเสริญด้วยความยินดี ดังที่ได้กล่าวแล้วในเบื้อง
ต้นว่า น เม ทิฎโฐ อิโต ปุพฺเพ เป็นอาทิ ความว่าข้าพระองค์ไม่เคยได้เห็น ไม่เคยได้ยิน มาก่อนเลยว่า
พระผู้มีพระภาคซึ่งงามด้วยศิริโสภาคยิ่งกว่าเทพเจ้าทั้งมวล มีพระสุรเสียงอันไพเราะอย่างนี้
เสด็จลงมาจากสวรรค์
(นี้เป็นมูลเหตุให้พุทธบริษัทสร้างพระพุทธรูปปางลีลา และปางเสด็จลงจากดาวดึงส์)
ขณะนั้น พระบรมศาสดาซึ่งมีพระทัยมากด้วยพระมหากรุณามุ่งต่อนรานรประโยชน์ จึงได้แสดงธรรมโปรด
พุทธบริษัท ผู้กำลังมีความโสนมัสพึงตาพึงใจชมในพระรูปพระโฉม อยู่ในท่ามกลางเทพยเจ้าและหมู่พรหม
ที่พร้อมกันถวายสักการบูชาด้วยทิพยบุบผานานาวรามิส ให้เกิดกุศลจิตสัมปยุตด้วยปรีชาญาณ หยั่งรู้ในเทศนา
บรรหารตามควรแก่อุปนิสัย เมื่อจบเทศนานัยธรรมานุสนธ์ ต่างก็ได้บรรลุอริยมรรค อริยผลตั้งแต่เบื้องต้นจน
ถึงเบื้องปลาย ตามอริยุปนิสัยที่ได้สั่งสมมา .
จบตำนานพระพุทธรูปทั้ง o๓ ปาง แต่เพียงนี้ .