ปางที่ ๓๑
ปางรับผลมะม่วง
ลักษณะของพระพุทธรูปปางนี้
อยู่ในพระอิริยาบถนั่งขัดสมาธิ พระหัตถ์ซ้ายวางบนพระเพลา พระหัตถ์ขวาทรงถือผลมะม่วง
และวางหลังพระหัตถ์ไว้บนพระเพลา หงายพระหัตถ์ให้เห็นผลมะม่วงที่ทรงถืออยู่
พระพุทธรูปปางนี้ มีตำนาน ดังนี้
เมื่อพระบรมศาสดาทรงโปรดพระพุทธบิดา ในเวลาต่อมาให้ดำรงอยู่ในพระอริยผลชั้นอนาคามีบุคคล
โปรดพระนางปชาบดีโคตมีและพระนางพิมพาเทวีให้อยู่ในพระอริยผลชั้นโสดาบัน โปรดให้นันทกุมาร
พุทธอนุชาให้ทรงผนวชเป็นภิกษุ โปรดให้ราหุลกุมารซึ่งเป็นพระพุทธชิโนรสบรรพชาเป็นสามเณร และ
โปรดพระประยูรญาติทั้งหลายให้ตั้งอยู่ในพระอริยธรรมควรแก่วิสัย ตลอด ๑ พรรษา ครั้นออกพรรษาแล้ว
ก็เสด็จมาประทับที่พระเวฬุวันวิหาร พระนครราชคฤห์
ต่อมา ท่านอนาถปิณฑิกมหาเศรษฐีเมืองสาวัตถีมากรุงราชคฤห์ได้ฟังพระธรรมเทศนาแล้ว
บรรลุพระโสดาปัตติผล ได้ถวายไทยทานแด่พระบรมศาสดาพร้อมด้วยพระสงฆ์สาวก กับได้อาราธนา
พระบรมศาสดาให้เสด็จไปประทับจำพรรษา ณ พระนครสาวัตถี โดยท่านจะสร้างพระวิหารถวาย ครั้น
พระบรมศาสดารับอาราธนาแล้ว ท่านอนาถปิณฑิกเศรษฐีก็รีบกลับพระนครสาวัตถี ขอซื้อสวนของ
เจ้าชายเชตุกุมารแล้วสร้างพระมหาวิหารพร้อมด้วยเสนาสนะสมบูรณ์ทุกประการ สิ้นทรัพย์เป็นจำนวน
๕๔ โกฏิ ให้นามขนานว่า "พระเชตวันวิหาร" แล้วทูลอันเชิญพระบรมศาสดาจารย์พร้อมด้วยพระสงฆ์
หมู่ใหญ่ให้เสด็จมาประทับจำพรรษา ณ พระเชตวันมหาวิหารนี้
พระบรมศาสดาได้แสดงธรรมประกาศพระศาสนา ยังหมาชนตั้งต้นแต่พระปัสเสนทิโกศลลงมาให้เลื่อมใส
ตั้งอยู่ในพระไตรสรณาคมน์เป็นอันมากโดยกาลไม่นานแล้วพระบรมศาสดาจารย์เสด็จกลับประทับยัง
พระเวฬุวันวิหารอีก
ครั้งนั้น มีเศรษฐีในพระนครารชคฤห์ผู้หนึ่ง ยังมิได้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา และก็ยังมิได้เลื่อมใสในลัทธิ
ของอาจารย์ใดๆทั้งสิ้น เป็นคนไม่มีพระศาสนา แต่กำลังสนใจใคร่ครวญว่า ตนควรจะตั้งอยู่ในศาสนาใด
หรือควรตั้งอยู่ในลัทธิของอาจารย์ใดจึงจะดี ก็บังเอิญท่านเศรษฐีผู้นี้ได้แก่นไม้จันทน์แดงมาท่อนหนึ่ง
ก็พลันนึกอุบายอย่างหนึ่งได้ จึงให้ช่างไม้เอาจันทน์แดงท่อนนั้นมากลึงเป็นบาตรลูกหนึ่ง แล้วให้วางใน
สาแหรกแขวนไว้ที่ปลายลำไม้ไผ่ต้นหนึ่งที่หน้าเรือนของตน พร้อมให้กับให้คนใช้ประกาศว่า เวลานี้มีข่าว
โจษจันกันเนืองๆว่า บัดนี้ มีพระอรหันต์บังเกิดขึ้นในโลกแล้ว แต่ว่าตนยังไม่รู้จักพระอรหันต์ ทั้งไม่มีญาณ
วิเศษอันใดจะหยั่งรู้ว่า ท่านองค์ใดเป็นพระอรหันต์อีกด้วย ก็แต่ว่าข้าพเจ้าอยากจะรู้จักพระอรหันต์ เมื่อรู้แล้ว
จะได้เคารพ สักการะบูชา ยอมตนเป็นศิษย์ ดังนั้น ถ้าท่านองค์ใดองค์หนึ่งเป็นพระอรหันต์ ขอท่านองค์นั้น
จงเหาะมาทางอากาศถือเอาบาตรไม้จันทน์ลูกนี้เถิด ข้าพเจ้าจะยอมรับว่าท่านองค์นั้นเป็นพระอรหันต์แท้
ด้วยวิธีนี้เป็นสำคัญ
อนึ่งถ้าภายใน ๗ วัน นับแต่วันที่ประกาศนี้ไป หากไม่มีพระอรหันต์องค์ใดเหาะมาเอาบาตรไม้จันทน์แล้วไซร้
ข้าพเจ้าจะตกลงใจว่า โลกนี้ไม่มีพระอรหันต์ คำที่มหาชนกล่าวว่ามีพระอรหันต์นั้น เท็จ ไม่เป็นความจริง
อุบายของท่านเศรษฐีผู้นี้ได้ผล เพราะภายใน ๒-๓ วันนั้นเองทำให้เจ้าลัทธิต่างๆที่ประกาศตนเป็นอรหันต์
ได้พากันร้อนตัว จัดส่งศิษย์ของตนมาพบท่านเศรษฐี พูดจาหว่านล้อมพร้อมกับแสดงวิธีต่างๆประกอบ เพื่อ
ให้ท่านเศรษฐีตายใจว่าเจ้าลัทธินั้นๆเป็นอรหันต์ และขอรับบาตรไปแต่ท่านเศรษฐีเป็นคนรักษาคำพูด แม้จะ
ถูกผู้ใดใช้อุบายอย่างใดก็ไม่ยอมให้บาตร ยืนคำขาดว่า เหาะมาเอาเถาะ ถ้าเป็นพระอรหันต์ และในที่สุดก็ไม่มี
พระอรหันต์เหาะมาเอาบาตรไม้จันทน์แดง จนถึงวันคำรบ ๗
เช้าวันนั้น พระมหาโมคคัลลานะเถระกับพระปิณโฑลภารทวาชเถระออกจากพระวิหาร มายืนห่มจีวรอยู่ที่บน
แผ่นหินดาดนอกเมือง ได้ยินคนโจษกันว่า บัดนี้ครบ ๗ วันแล้วไม่เห็นมีพระอรหันต์เหาะมาเอาบาตร
พระอรหันต์ในโลกนี้ไม่มีแน่แล้ว
พระมหาโมคคัลลานะจึงกล่าวกะพระโฑลภารทวาชะว่า ท่านปิณโฑละ ได้ยินคนเขาพูดกันไหม คนเหล่านี้
กำลังย่ำเหยียบเกียรติของพระศาสนา ความจริง ท่านก็มีฤทธิ์มาก ท่านควรจะเหาะไปเอาบาตรไม้จันทน์แดง
นี้เสียเถิด
พระปิณโฑลภารทวาชะตอบว่า พระคุณท่านนั่นแหละเป็นผู้เลิศใสหมู่พระสาวกที่มีฤทธิ์มาก ฉะนั้น
พระคุณท่านควรจะไปเอาบาตร แต่เมื่อท่านไม่ไป กระผมจะไปเอาเอง พูดแล้วพระปิณโฑลภารทวาชะ
ก็เข้าจตุตถฌานอันเป็นบาทของอภิญญา ทำปฏิหาริย์สำแดงฤทธิ์เอาปลายเท้าคีบหินดาดแผ่นนั้นซึ่ง
ใหญ่ยาวประมาณ ๓ คาวุต ลอยขึ้นไปบนอากาศเสมือนปุยนุ่นติดเท้าพระเถระไป เวียนรอบอยู่บน
พระนครราชคฤห์ ๗ รอบ ลักษณาการของหินดาดนั้น คล้ายกับฝาละมีจะปิดพระนคร
ชาวเมืองทั้งหลายพากันตกใจกลัวหินจะหล่นลงมาทับ ร้องขอให้พระเถระจับแผ่นหินไว้ให้มั่นๆหน่อย
พระเถระสลัดแผ่นหินนั้นให้ปลิวไปตกยังที่เดิมแล้ว ยืนอยู่ในอากาศที่หน้าเรือนท่านเศรษฐี
ท่านเศรษฐีนั้นเห็นแล้วหมอบลงกราบ อาราธนาให้พระเถระเจ้าลงมานั่งบนอาสนะในเรือนของตนแล้ว
นำบาตรไม้จันทน์ลงมา จัดอาหารอันประณีตใส่บาตรให้เต็มแล้วถวายพระเถระเจ้า พระปิณโฑลภารทวาชะ
รับบาตรแล้วเหาะบ่ายหน้ากลับพระวิหาร ในขณะนั้นมหาชนที่ยังไม่ได้ชมปาฏิหาริย์ของพระเถระ รวมทั้งคน
ที่ยังชมไม่จุใจได้พากันวิ่งตามไปยังพระวิหารร้องขอให้พระเถระสำแดงปาฏิหาริย์ให้ชมอีก เสียงร้องของ
มหาชนนั้นอื้ออึงลั่นพระวิหาร
พระศาสดาทรงสดับเสียงนั้นจึงรับสั่งถามพระอานนทเถระ ครั้นทราบความแล้วทรงตำนิ พร้อมกับโปรดให้
ทำลายบาตรไม้จันทน์นั้นเสียย่อยให้เป็นชิ้นเล็กๆถวายพระสำหรับทำโอสถ แล้วทรงมีบัญญัติห้ามมิให้
พระสาวกทำปาฏิหาริย์อีกต่อไป
ครั้นพวกเดียรถีย์ได้ทราบข่าวนั้นแล้ว พากันดีใจว่า เป็นโอกาศของเราแล้ว จึงให้สาวกของตนออกประกาศว่า
เราจะทำปาฏิหาริย์กะพระสมณโคดม
เมื่อพระเจ้าพิมพิสารได้ทรงสดับข่าวนั้นแล้ว ร้อนพระทัยด้วยความเป็นห่วง
รีบเสด็จไปเฝ้าพระบรมศาสดาที่พระวิหาร ทูลถามว่า
"พระองค์ทรงบัญญัติห้ามพระสาวกทำปาฏิหาริย์เป็นความจริงหรือ พระเจ้าค่ะ ?"
"เป็นความจริง มหาบพิตร" พระศาสดาทรงรับสั่ง"
"ถ้าพวกเดียรถีย์จะทำปาฏิหาริย์แล้วพระองค์จะทำอย่างไร ?"
"ถ้าพวกเดียรถีย์ทำ ตถาคตก็จะทำด้วย"
"ก็พระองค์ทรงบัญญัติแล้วมิใช่หรือ ?"
"ถูกแล้ว มหาบพิตร ตถาคตห้ามพระสาวกต่างหาก หาได้ห้ามอาตมาไม่
เหมือนเจ้าของสวนห้ามเก็บผลไม้ความจริงก็หาได้ห้ามเจ้าของสวนเก็บมิใช่หรือ มหาบพิตร"
พระเจ้าพิมพิสารทูลถามต่อไปว่า "พระองค์จะทำที่ใหน และจะทำเมื่อใด"
"ถวายพระพร อาตมาจะทำที่เมืองสาวัตถี ในวันเพ็ญเดือน ๘ นับแต่นี้ไปอีก ๔ เดือน"
ครั้นพระศาสดาเสด็จอยู่ที่พระนครราชคฤห์ พอสมควรแก่อัธยาศัยแล้วก็เสด็จไปยังพระนครสาวัตถี
พวกเดียรถีย์พากันกลั่นแกล้งโจษว่าพระสมณโคดมหนีไปแล้ว เราจะไม่ลดละ จะติดตามไปทำปาฏิหาริย์ด้วย
ครั้นย่างเข้าเดือน ๘ ใกล้เวลาทำปาฏิหาริย์ พวกเดียรถีย์ได้จัดสร้างมณฑปใหญ่ประดิษฐ์ด้วยไม้ตะเคียนงาม
วิจิตร ประกาศให้มหาชนทราบว่าตนจะทำปาฏิหาริย์ที่นี้
ครั้งนั้น พระเจ้าปัสเสนทิโกศลเข้าไปเฝ้าพระบรมศาสดา รับจะทำมณฑปถวายเพื่อทำปาฏิหาริย์ พระศาสดา
ไม่ทรงรับ ตรัสว่า อาตมาจะไม่ใช้มณฑปทำปาฏิหาริย์
ครั้นพวกเดียรถีย์ทราบว่า พระบรมศาสดาจะทรงทำปาฏิหาริย์ที่ร่มไม้มะม่วง จึงจ่ายทรัพย์จ้างให้คนทำลาย
ต้นมะม่วงในที่สาธารณะทั้งในเมืองและนอกเมืองให้หมด เพื่อมิให้โอกาสแก่พระสัมพุทธเจ้าทรงทำปาฏิหาริย์
ครั้นถึงวันเพ็ญแห่งอาสาฬหมาส คือเวลาเช้าแห่งวันขึ้น ๑๕ ค่ำ กลางเดือน ๘ พระผู้มีพระภาคเจ้า
พร้อมด้วยพระสงฆ์ เสด็จเข้าไปภายในพระนครสาวัตถี เพื่อบิณฑบาต ประจวบกับราชบุรุษผู้รักษาสวนหลวง
คนหนึ่ง ชื่อคัณฑะเห็นมะม่วงทะวายมดแดงทำรังหุ้มอยู่ กำลังสุก จึงได้สอยผลมะม่วงผลนั้นลงมา เมื่อทำ
ความสะอาดดีแล้วก็จัดใส่ภาชนะนำไปจากสวน เพื่อถวายพระราชา พอดีเห็นพระสัมพุทธเจ้าเสด็จมาแต่ไกล
ก็มีความเลื่อมใส พลางดำริว่ามะม่วงผลนี้ หากเราจะเอาไปถวายพระราชาก็คงจะได้รับพระราชทานรางวัล
ไม่เกิน ๑๖ กหาปนะ แต่ถ้าเราจะน้อมถวายพระสัมพุทธเจ้าแล้ว จะเป็นมหากุศลอำนวยอานิสงส์ผลให้
ประโยชน์สุขแก่เราสิ้นกาลนาน เมื่อนายคัณฑะดำริเช่นนี้แล้ว ก็น้อมมะม่วงสุกผลนั้นเข้าไป
ถวายพระสัมพุทธเจ้า
ครั้นพระบรมศาสดา ทรงรับผลมะม่วงของนายคัณฑะแล้ว ประสงค์จะประทับนั่ง ณ ที่ตรงนั้น
พระอานนทเถระเจ้าก็จัดอาสนะถวายประทับตามพุทธประสงค์ ครั้นประทับนั่งแล้ว ทรงหยิบผลมะม่วงในบาตร
ส่งให้พระอานนททำปานะ พระอานนทเถระเจ้าก็จัดทำปานะมะม่วง คือน้ำผลมะม่วงคั้นถวายตามพระประสงค์
ครั้นพระบรมศาสดาเสวยแล้วก็ทรงส่งเมล็ดมะม่วงให้นายคัณฑะว่า คัณฑะ ! เธอจงคุ้นดินร่วนขึ้นทำเป็นหลุม
ปลูกมะม่วงเมล็ดนี้ ณ ที่นี้เถิด
นายคัณฑะ ก็จัดปลูกมะม่วงเมล็ดนั้นถวายพระบรมศาสดา ณ ที่นั้น พระบรมศาสดา ทรงล้างพระหัตถ์บนเมล็ด
มะม่วงนั้น ในทันใดก็พลันบังเกิดความอัศจรรย์ขึ้น เมล็ดมะม่วงนั้นเกิดงอกออกต้นขึ้นทันที และในชั่งขณะที่
นายคัณฑะพร้อมด้วยสาวกทั้งหลายมองดูอยู่ด้วยความพิศวง ต้นมะม่วงต้นน้อยๆนั้นก็ค่อยเติบโตออกกิ่งใหญ่ๆ
ถึง ๕ กิ่ง แต่ละกิ่งยื่นยาวออกไปถึง ๕o ศอก ทั้งล้วนตกดอกออกผล มีทั้งผลดิบผลสุก แลอร่ามไปทั้งต้น
ล่วงหล่นเกลื่อนพื้นพสุธา
นายคัณฑะมีปีติเลื่อมใส ได้ประสบความอัศจรรย์เฉพาะหน้า ก็เก็บผลมะม่วงสุกที่หล่นลงถวายพระสงฆ์
ทั้งหลายที่ติดตามมาให้ฉันจนอิ่มหนำสำราญทั่วกัน .
จบตำนานพระพุทธรูป ปางรับผลมะม่วง แต่เพียงนี้ .