ปางที่ ๒๘
ปางแสดงอิทธิปาฏิหาริย์

 

ลักษณะของพระพุทธรูปปางนี้

อยู่ในพระอิริยาบถยืน พระหัตถ์ซ้ายยกขึ้นป้องเสมอพระอุระ
พระหัตถ์ขวาห้อยลงข้างพระกาย พักพระชานุเบื้องขวา
พระปางนี้อยู่ในอริยบถอื่นก็มี ส่วนมากเป็นภาพเขียน และภาพแกะสลักติดผนัง

พระพุทธรูปปางนี้ มีตำนาน ดังนี้

ครั้งหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จประทับอยู่ยังพระเวฬุวันวิหาร อาศัยกรุงคฤห์นครเป็นที่โคจรภิกษาจาร
และประทานธรรมเทศนา โปรดสัตว์ผู้มิจฉาจิตดำเนินไปในทางที่ผิด ให้เกิดกุศลจิตกลับมา ดำเนินใน
อริยมรรคอันเป็นทางเกษมสันต์ อันจะนำผู้ปฏิบัติให้เข้าถึงซึ่งสวรรค์ และนิพพานเกียรติศัพท์ของพระองค์
ก็แผ่ไพศาลไปทั่วทุกทิศ ให้มหาชนเกิดศรัทธาน้อมจิตเข้าถึงพระรัตนตรัยตลอดกาล

เมื่พระเจ้าสุทโธทนะ พระพุทธบิดา ณ พระนครกบิลพัสดุ์ ได้ทรงทราบพระเกียรติคุณของพระสัมพุทธเจ้า
ฟุ้งขจรไปทั่วทุกทิศ ก็ทรงปีติโสมนัสที่พระโอรสของพระองค์ได้สำเร็จพระสัมโพธิญาณสมดังคำพยากรณ์
ของท่านอาจารย์อสิตดาบสและพราหมณาจารย์ทั้ง คน ทรงตั้งพระทัยคอยเวลาอยู่ว่า
เมื่อใดพระสัมพุทธเจ้าจึงจะเสด็จไปพระนครกบิลพัสดุ์

ครั้นไม่ได้ข่าววี่แววมาเลยว่าพระสัมพุทธเจ้าจะเสด็จ ก็ทรงร้อนพระทัยปรารถนาจะให้พระสัมพุทธเจ้า
เสด็จพระนครกบิลพัสดุ์ จึงส่งอำมาตย์พร้อมด้วยบริวารคณะหนึ่งให้ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
ยังพระเวฬุวันวิหารกราบทูลอาราธนาให้เสด็จยังพระนครกบิลพัสดุ์ ครั้นอำมาตย์และบริวารคณะนั้นเดินทาง
จากพระนครกบิลพัสดุ์ ถึงพระนครราชคฤห์ อันมีระยะทาง ๖o โยชน์ ก็เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าในเวลา
ที่พระองค์ทรงแสดงธรรมอยู่ได้โอกาสฟังธรรมด้วย ครั้นฟังธรรมแล้วก็ได้บรรลุพระอหัตต์ทั้งคณะ ทูลขอ
อุปสมบทเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนา ไม่ได้โอกาสที่จะกราบทูลความตามที่พระเจ้าสุทโธทนะทรงบัญชามา

ครั้นล่วงมาหลายเวลา พระเจ้าสุทโธทนะเห็นอำมาตย์คณะหายไปก็ทรงส่งอำมาตย์คณะใหม่ออกติดตาม
และกราบทูลความประสงค์ของพระองค์อาราธนาพระผู้มีพระภาคเจ้าให้เสด็จ แม้อำมาตย์ราชฑูตคณะนี้
ก็ได้ฟังธรรมบรรลุมรรคผล และได้อุปสมบทในพระพุทธศาสนา เช่นอำมาตย์คณะก่อนพระเจ้าสุทโธทนะ
ทรงส่งอำมาตย์ไปอาราธนา ไม่เป็นผลสมพระทัยดังนี้ถึง ครั้ง ครั้งสุดท้ายทรงน้อยพระทัย
รับสั่งเรื่องนี้แก่กาฬุทายีอำมาตย์ผู้ใหญ่ขอมอบเรื่องให้กาฬุทายีอำมาตย์ช่วยจัดให้สมพระราชประสงค์
ด้วยทรงเห็นว่ากาฬุทายีเป็นอำมาตย์ผู้ใหญ่ที่สนิทสนม เป็นที่ไว้วางพระทัยของพระสัมพุทธเจ้ามาแต่ก่อน
ทั้งเป็นสหชาติของพระบรมศาสดาด้วย

กาฬุทายีรับสนองพระบัญชาพระเจ้าสุทโธทนะว่า "จะพยายามกราบทูลเชิญเสด็จให้สมพระราชประสงค์
ให้จงได้" แต่ได้กราบทูลลาอุปสมบทด้วย เพราะแน่ใจว่าตนควรจะได้อุปสมบท ในสมัยที่เป็นโอกาส
อันดีงามเช่นนี้แล้ว พระเจ้าสุทโธทนะจำต้องพระราชทานให้กาฬุทายีตามที่ทูลขอด้วยความเสียดาย
หากแต่ดีพระทัยว่า กาฬุทายีอำมาตย์จะได้ทูลอัญเชิญเสด็จพระสัมพุทธเจ้าให้สมประสงค์

ครั้นกาฬุทายีอำมาตย์ พร้อมด้วยบริวารเดินทางมาถึงพระนครราชคฤห์แล้ว ก็เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
ยังพระเวฬุวันวิหาร ได้สดับธรรมเทศนาบรรลุพระอรหัตต์พร้อมด้วยบริวาร แล้วทูลขออุปสมบทเป็นภิกษุ
ด้วยกันทั้งสิ้นเมื่อพระกาฬุทายีเถระเจ้าบวชแล้วได้ วัน ก็พอสิ้นเหมันตฤดู และย่างเข้าฤดูคิมหันต์
ถึงวันผคุณมาสปุรณมีคือวันเพ็ญ เดือน พอดี

พระเถระเจ้ากาฬุทายีจึงดำริว่า พรุ่งนี้เป็นเวลาย่างเข้าฤดูร้อนบรรดาเหล่าชาวกสิกรทั้งหลายก็เก็บเกี่ยวข้าว
แล้วเสร็จ มรรคาที่จะเสด็จไปสู่นครกบิลพัสดุ์ ก็สะดวกสบายพฤกษชาติที่เกิดเรี่ยรายอยู่ริมทาง ก็ให้ความ
ร่มเย็นเป็นอย่างดี สมควรที่พระชินศรีบรมศาสดาจะเสด็จดำเนินไปกรุงกบิลพัสดุ์แสดงธรรมโปรด
พระมหากษัตริย์สุทโธทนะพระพุทธบิดาตลอดพระบรมวงศานุวงศ์ศากยราช ดำริแล้วพระเถระเจ้าก็เข้าเฝ้า
พระบรมโลกนาถยังพระคันธกุฎีกราบทูลพรรณาทางไปกบิลพัสดุ์บุรีว่า เป็นสุขวิถีทางดำเนินสะดวกสบาย
ตลอดมรรคา ยามเมื่อแสงแดดแผดกล้าก็มีร่มไม้ให้พักร้อน เป็นที่รื่นรมย์ตลอดระยะทาง ๖o โยชน์ หาก
พระองค์จะทรงบำเพ็ญปรหิตประโยชน์โปรดพระประยูรญาติยังกบิลพัสดุ์นคร ก็จะเป็นที่สำราญพระกาย
ไม่ต้องรีบร้อนยามเสด็จพุทธลีลา ตลอดพระสงฆ์สาวกที่จะติดตามพระบาท ก็จะไม่ลำบากด้วย
น้ำท่าและกระยาหาร ด้วยตามระยะทางมีโคจรคามเป็นที่ภิกษาจารตลอดสาย

อนึ่ง พระบรมชนกนาถก็มีพระทัยมุ่งหมาย ใคร่จะได้ประสบพบพระองค์ ตลอดพระภิกษุสงฆ์ทั้งหมด
หากพระองค์จะทรงพระกรุณาเสด็จไปให้สมมโนรถของพระชนกนาถ ตลอดทั่งพระประยูรญาติศากยวงศ์
แล้วประดิษฐานพระพุทธศาสนาลงที่กบิลดุ์พัสบุรี ก็จะเป็นเกียรติเป็นศรีแก่พระพุทธศาสนา นำมาซึ่งประโยชน์
สุขแก่ปวงมหาชน เป็นสิริมงคลแก่อนุชนคนภายหลังชั่วกาลนาน ข้าพระองค์ขออัญเชิญพระพิชิตมารเสด็จ
สู่กบิลพัสดุ์บุรีโปรดพระชนกและพระประยูรญาติให้ปีติยินดีในคราวนี้เถิด

เมือ่พระบรมศาสดาทรงสดับสุนทรกถาที่กาฬุทายีเถระกราบทูลพรรณารวม ๖๔ คาถา วิจิตรพิสดาร ก็ทรง
ตรัสสาธุการแก่พระกาฬุทายีตรัสว่า "ตถาคตจะเสด็จไปโปรดพระประยูรญาติยังกบิลพัสดุ์บุรี
ตามคำของท่าน ณ กาลบัดนี้ ฉะนั้นท่านจงแจ้งข่าวแก่พระสงฆ์ทั้งหลายให้ตระเตรียมการเดินทางไกล
ตามตถาคตประสงค์ที่จะเสด็จไปยังกบิลพัสดุ์บุรี"

เมื่พระกาฬุทายีออกมาประกาศให้มวลพระสงฆ์ ที่มาสันนิบาตอยู่พร้อมหน้าให้ทราบพระพุทธประสงค์แล้ว
บรรดาพระสงฆ์ขีณาสพทุกๆองค์ก็เตรียมบาตรจีวรมาสโมสรรอเสด็จพระบรมศาสดาตามวันเวลาที่กำหนด
ครั้นได้เวลา พระบรมศาสดาจารย์พร้อมด้วยพระสงฆ์ขีณาสพ หมื่น เป็นประมาณ เสด็จดำเนินไปยัง
กบิลพัสดุ์นคร เสด็จโดยมิได้รีบร้อนตามสบายประมาณระยะทางเดินได้วันละ โยชน์พอดี

ฝ่ายพระกาฬุทายีได้ส่งข่าวเสด็จพระนครกบิลพัสดุ์ ของพระชินศรีสัมพุทธเจ้าแด่พระเจ้าสุทโธทนะ
บรมกษัตริย์ ท้าวเธอได้ทรงทราบก็ทรงโสมนัสเบิกบาน แจ้งข่าวสารแก่มวลพระประยูรญาติทั้งศากยราช
และโกลิยวงศ์ในเทวทหนคร พระญาติทั้งสองฝ่ายได้มาสโมสรประชุมกันต้อนรับที่กบิลพัสดุ์บุรีด้วยความ
ปีติยินดีเกษมศานต์ ได้ร่วมกำลังสร้างนิโครธมหาวิหาร พร้อมด้วยเสนาสนะและพระคันธกุฏี เพื่อรับรอง
พระชินศรีและพระสงฆ์สาวกพุทธบริษัทเป็นสถานที่งดงาม และเงียบสงัดควรแก่สมณวิสัยเป็นอย่างดี

ครั้นสมเด็จพระชินศรี พร้อมด้วยพระสงฆ์สาวกเสด็จถึงกบิลพัสดุ์นครบรรดาพระประยูรญาติที่มาสโมสร
ต้อนรับอยู่ทั่วหน้า มีพระเจ้าสุทโธทนะพระพุทธบิดาเป็นประธาน ต่างแสดงออกซึ่งความเบิกบานตาม
ควรแก่วิสัยแล้วทูลเชิญให้เสด็จเข้าไปประทับยังพระนิโครธารามพระมหาวิหาร พระบรมศาสดาจารย์
ก็เสด็จขึ้นประทับบนพระบวรพุทธอาสน์ บรรดาพระสงฆ์ หมื่นต่างก็ขึ้นนั่งบนเสนาสน์อันมโหฬาร
ดูงามตระการปรากฎสมเกียรติศากยบุตรพุทธชิโนรสบรรดามี

ครั้งนั้น บรรดาพระประยูรญาติทั้งหลายมีมานะทิฎฐิอันกล้า นึกละอายใจไม่อาจน้อมประนมหัตถ์ถวาย
พระบรมศาสดาได้ ด้วยดำริว่า "พระสิทธัตถกุมารมีอายุยังอ่อนไม่ควรแก่ชุลีกรนมัสการ จึงจัดให้
พระประยูรญาติราชกุมารที่พระชนมายุน้อย คราวน้อง คราวบุตร หลาน ออกไปนั่งอยู่ข้างหน้าเพื่อจะ
ได้ถวายบังคมพระบรมศาสดา ซึ่งเห็นว่าควรแก่วิสัย ส่วนพระประยูรญาติผู้ใหญ่พากันประทับนั่งอยู่
เบื้องหลังเหล่าพระราชกุมาร ไม่ประนมหัตถ์ ไม่นมัสการ หรือคารวะแต่ประการใด ด้วยมานะจิตคิด
ในใจว่า ตนแก่กว่าไม่ควรจะวันทาพระสิทธัตถกุมาร

เมื่อพระบรมศาสดาได้ทรงประสบเหตุ ทรงพระประสงค์จะให้เกิดสลดจิตคิดสังเวชแก่พระประยูรญาติ
ที่มีมานะจิตคิดมมังการ จึงทรงสำแดงปาฏิหาริย์เหาะขึ้นลอยอยู่ในอากาศ ให้ปรากฎประหนึ่งว่าละออง
ธุลีพระบาทได้หล่นลงตรงเศียรเกล้าแห่งพระประยูรญาติทั้งหลาย ด้วยพุทธานุภาพเป็นมหัศจรรย์

ครานั้น พระเจ้าสุทโธทนะมหาราช พระพุทธบิดา ได้ทรงเห็นปาฏิหาริย์เป็นมหัศจรรย์ จึงประนมหัตถ์
ถวายนมัสการแล้วกราบทูลว่า

"ข้าแต่พระผู้มีพระภาค แต่กาลก่อน เมื่อพระองค์ทรงประสูติใหม่ได้ วัน หม่อมฉันได้ให้พระพี่เลี้ยง
นำมาเพื่อนมัสการพระกาลเทวิลดาบส พระองค์ก็ทรงปาฏิหาริย์ให้ปรากฎขึ้นไปอยู่บนชฎา
พระกาลเทวิลอาจารย์ แม้ครั้งนั้นหม่อมฉันก็ได้ถวายนมัสการเป็นปฐม ต่อมางานพระราชพิธีนิยม
ประกอบการวัปปมงคลแรกนาขวัญ พระพี่เลี้ยงนางนมได้นำพระองค์ประทับบรรทมใต้ร่มไม้หว้า
ครั้นเวลาบ่าย เงาไม้ก็ไม่ได้ชายไปตามตะวันเป็นปาฏิหาริย์ที่มหัศจรรย์ได้ปรากฎ แม้ครั้งนั้น
หม่อมฉันก็ได้ประณตนมัสการเป็นคำรบสอง ควรแก่การสดุดี รวมเป็นสามครั้งกับครั้งนี้
ที่หม่อมฉันได้อัญชลีนมัสการ"

เมื่อสุดสิ้นพระราชบรรหารแห่งพระเจ้าสุทโธทนะมหาราช บรรดาเหล่าพระประยูรญาติสิ้นทั้งหมด
ก็พากันยอกรประณตอภิวาทพระบรมศาสดาด้วยคารวะเป็นอันดี

ต่อนั้น พระมหามุนีบรมสุคตเจ้าก็เสด็จลงจากอากาศ ประทับนั่งบนพระพุทธอาสน์ในท่ามกลาง
พระประยูรญาติสมาคม เป็นที่ชื่นชมโสมนัิสสุดจะประมาณ ด้วยบุญญาภินิหารพระโลกนาถ ขณะนั้น
มหาเมฆก็ตั้งขึ้นในอากาศบรรดาลหยาดฝนโบกขรพรรษให้ตกในที่พระขัตติยะประยูรวงศ์ประชุมกัน
น้ำฝนโบกขรพรรษนั้นมีสีแดงหลั่งไหลเสียงสนั่นลั่นออกไปไกล เหมือนเสียงสายฝนธรรมดา
ถ้าผู้ใดปรารถนาจะให้เปียกกายจึงจะเปียกกาย ถ้าไม่ปรารถนาแล้ว แม้แต่เม็ดหนึ่งก็มิได้เปียกตัว
เหมือนหยาดน้ำตกลงบนใบบัว แล้วก็กลิ้งตกลงไปมิได้ติดอยู่ให้เปียก ดังนั้น จึงได้นามขนานขานว่า
"ฝนโบกขรพรรษ" เป็นมหัศจรรย์

ครั้นนั้น พระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายก็ชวนกันพิศวง ต่างองค์ก็สนทนาว่ามิได้เคยเห็นมาก่อนกาล พระองค์
จึงมีพุทธบรรหารตรัสว่า "ฝนโบกขรพรรษนี้มิใช่จะตกในที่ชุมนุมพระประยูรญาติในครั้งนี้เท่านั้น ก็หาไม่
ในอดีตสมัยเมื่อตถาคตเสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดร บรมโพธิสัตว์ ฝนโบกขรพรรษ ก็เคยได้ตกลงใน
ที่ชุมนุมพระประยูรญาติเหมือนครั้งนี้" แล้วสมเด็จพระมุนีจึงได้ทรงแสดงพระธรรมเทศนา
เรื่องมหาเวสสันดรชาดก ยอยกพระมหาทานบารมี เป็นพุทธานุสาสนีโปรดพระประยูรญาติ ซึ่งเป็นโอกาส
อันควรแก่พระธรรมเทศนา ที่ทรงพระอุตสาหะเสด็จมาเป็นปฐม ให้พระประยูรญาติมีความนิยมเบิกบาน .

 

จบตำนานพระพุทธรูป ปางแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ิ แต่เพียงนี้ .