ปางที่ ๒๔
ปางชี้อัครสาวก

 

ลักษณะของพระพุทธรูปปางนี้

อยู่ในพระอิริยาบถนั่งขัดสมาธิ พระหัตถ์ซ้ายหงายวางบนพระเพลา
พระหัตถ์ขวายกขึ้น ชี้นิ้วพระหัตถ์ขวาตรงออกไปข้างหน้า
เป็นกิริยาประกาศอัครสาวกให้ปรากฎในประชุมสงฆ์

พระพุทธรูปปางนี้ มีตำนาน ดังนี้

ในครั้งนั้นมีมาณพ คน เป็ยมิตรสหายที่สนิทชิดเชื้อกันเป็นอันมากชื่อว่า อุปติสสะ คนหนึ่ง
แต่คนชอบเรียกว่า สารีบุตร ด้วยเป็นบุตรของนางสารีพราหมณีภรรยานายบ้านที่มั่งคั่ง
ชื่อ โกลิตะ คนหนึ่ง แต่คนชอบเรียกว่า โมคคัลลานะ ด้วยเป็นบุตรของนางโมคคัลลี ภรรยา
นายบ้านที่มั่งคั่งทั้งสองคนนี้รักใคร่กันมาก มีอายุรุ่นราวคราวเดียว เป็นเพื่อนกันมาแต่เล็ก
แต่น้อย เล่าเรียนศิลปศาสตร์ในสำนักเรียนเดียวกัน แม้เสร็จการเรียนแล้วก็ยังสนิทสนมกัน
ไปใหนไปด้วยกัน ร่วมสุขร่วมทุกข์กันฉันมิตรอยู่เสมอ

วันหนึ่ง สองสหายนี้ พร้อมด้วยเพื่อนฝูง ไปดูงานบนยอดภูเขาเกิดความสลดใจ ไม่สนุกร่าเริง
เหมือนวันก่อนๆ ด้วยคิดเห็นว่าคนเหล่านี้รวมทั้งตัวเรา อยู่อีกไม่ถึงร้อยปีก็จะตายสิ้น
สิ่งที่เป็นสาระอันควรจะได้จะถึง ซึ่งควรจะแสวงหา ก็ยังมิได้แสวง แม้เพียงแต่คิดก็ยังมิได้คิด
ครั้นสองสหายปรึกษาหารือกัน และมีความเห็นร่วมกันแล้ว จึงพร้อมกันออกบวชเป็นปริพาชก
ซึ่งเป็นนักบวชจำพวกหนึ่ง ในสำนักท่านสัญชัยปริพาชก อันเป็นสำนักใหญ่มีชื่อเสียงสำนักหนึ่ง
ในเวลานั้น

เนื่องจาก สารีบุตร และ โมคคัลลานะ ปริพาชกทั้งสองนี้เป็นคนมีปัญญามีการศึกษาดีมาก่อน
ทั้งเมื่อบวชก็บวชมุ่งแสวงหาโมกขธรรม ดังนั้นครั้นบวชเป็นปริพาชกในสำนักท่านอาจารย์
สัญชัยแล้ว จึงได้ตั้งหน้าเรียนและปฏิบัติตามด้วยความอุตสาหะ ครั้นศึกษาอยู่ไม่นาน
ก็สิ้นความรู้ของอาจารย์และได้รับยกย่องจากสัญชัยปริพาชกว่า ทั้งสองสหายนี้ มีความรู้เสมอ
กับท่านและแต่งตั้งให้ท่านเป็นครูช่วยสั่งสอนศิษย์ในสำนักด้วย แต่สารีบุตรปริพาชกและโมคคัลลานะ
ปริพาชกไม่ปรารถนา ทั้งรู้แจ้งชัดว่าลัทธิของปริพาชกก็มีเพียงเท่านี้ หาเป็นทางตรัสรู้ไม่
จึงไม่พอใจอยู่ แต่เมื่อยังไม่เห็นทางใดดีกว่า ก็ยังอาศัยอยู่ในสำนักสัญชัยปรพาชกไปพลางก่อน
ต่างได้ทำสัญญากันไว้ว่า "ต่างพยายามแสวงหาครูอาจารย์ที่สามารถสอนโมกขธรรมให้
ในสองคนเรานี้ผู้ใดได้โมกขธรรมก่อน ผู้นั้นจะต้องมาบอกกัน"

วันหนึ่ง สารีบุตรปริพาชกกับจากธุระ มุ่งหน้าเดินมายังอารามของปริพาชกแต่เช้า บังเอิญได้เห็น
พระอัสสชิเถระเจ้ากำลังเดินบิณฑบาตรอยู่ ครั้นได้เห็นแล้วรู้สึกพอใจในอากัปกิริยาของท่าน
ตั้งตาจับดูกิริยาตลอดเวลาในเมื่อท่านอัสสชิเถระจะก้าวหน้าจะถอยหลัง จะเหยียดมือออก
จะคู้มือเข้าก็ล้วนอยู่ในอาการสังวร เรียบร้อย ทอดตาไปพอประมาณ งามสมแก่สมณสารูป
ยิ่งนัก เดินติดตามดูท่านไปตลอด ดูพลางนึกพลางว่า ที่มหาชนร่ำลือกันว่า พระอรหันต์มีอยู่
ในโลกนี้นั้น พระองค์นี้จะต้องเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งในจำนวนของพระอรหันต์ทั้งหลาย
เป็นแน่แท้ ไฉนหนอเราจะได้เข้าไปใกล้ได้ศึกษาธรรมกับท่าน และแล้วก็นึกต่อไปว่า เวลานี้
ยังไม่สมควรด้วยท่านกำลังแสวงหาอาหารอยู่ จึงได้พยายามติดตามไปโดยลำดับ

ครั้นพระอัสสชิเถระเจ้า ได้บิณฑบาตรพอฉันแล้ว ก็หลีกออกจากทางไปยังที่ซึ่งพอจะเป็น
ที่พักฉันบิณฑบาตร ฝ่ายสารีบุตรปริพาชกติดตามมาอย่างใกล้ชิด จึงถือโอกาสทำเป็น
อุบาสกที่ดี เข้าปฏิบัติจัดที่นั่งถวาย จัดน้ำถวาย แล้วนั่งปฏิบัติพระอัสสชิเถระขณะที่
ฉันบิณฑบาตรอยู่ในที่พอสมควรเมื่อพระเถระเจ้าฉันอิ่มแล้ว สารีบุตรปริพาชกได้เข้าไปใกล้
กราบลงด้วยความเคารพ แล้วเรียนถามท่านว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญอินทรีย์ของท่านผ่องใสนัก
ผิวพรรณก็หมดจดสดใส ท่านผู้เจริญ ท่านบวชจำเพาะใคร ใครเป็นอาจารย์ของท่าน ท่านชอบ
ใจธรรมของใคร พระอัสสชิเถระตอบว่า ท่านปริพาชกพระมหาสมณศากยบุตร ซึ่งเสด็จออกบวช
จากศากยตระกูล พระองค์นั้นเป็นพระอรหันต์ เป็นสัมมาสัมพุทธะ ฉันบวชจำเพาะพระองค์
พระองค์เป็นอาจารย์ของฉัน ฉันชอบใจธรรมของพระองค์

ท่านผู้เจริญ อาจารย์ของท่าน กล่าวสอนอย่างไร
ฉันเพิ่งบวชใหม่ ท่านปริพาชก ฉันมาสู่ธรรมวินัยนี้ไม่นาน ไม่อาจแสดงแก่ท่านโดยวิจิตรพิศดารได้
แต่ฉันจะแสดงให้ท่านฟังเพียงใจความย่อๆ

เป็นพระคุณยิ่ง ท่านผู้เจริญ ! นิมนต์ท่านแสดงแต่ใจความเถิดขอรับและความจริงกระผมก็มี
ความประสงค์แต่ใจความเท่านั้น เรื่องมากถ้อยมากคำมิใช่สิ่งที่ผมขอประทานเลย

ลำดับนั้น ท่านพระอัสสชิได้แสดงธรรมแก่สารีบุตรปริพาชกโดยย่อว่า
เย ธมฺมา เหตุปฺปภวา เป็นอาทิ ความว่า ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระศาสดาทรงแสดงเหตุ
ของธรรมนั้น และความดับแห่งธรรมนั้น พระศาสดาทรงสั่งสอนอย่างนี้ สารีบุตรปริพาชก
ได้ฟังธรรม ก็ทราบชัดโดยปรีชาญาณของตนว่า ธรรมทั้งปวงเกิดแต่เหตุ และจะสงบระงับไป
ก็เพราะดับเหตุก่อน พระศาสดาทรงสอนให้ปฏิบัติ เพื่อสงบระงับเหตุแห่งธรรม อันเป็นเครื่องก่อ
ให้เกิดทุกข์ เกิดดวงตาเห็นธรรม ซึ่งเรียกว่า ธรรมจักษุ อันเป็นตัวอริยมรรคญาณขึ้นทันทีว่า
สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดล้วนต้องมีความดับเป็นธรรมดา
สารีบุตรปริพาชกได้ถึงความเป็นพระอริยบุคคลในทันใดนั้น จึงนมัสการพระเถระเจ้า เรียนถามว่า
เวลานี้พระบรมศาสดาของเราเสด็จประทับอยู่ที่ใหนขอรับท่านอาจารย์ ฯ
อยู่ที่พระเวฬุวันวิหารสารีบุตร ถ้าอย่างนั้นนนิมนต์ท่านอาจารย์ไปก่อนเถิดขอรับ กระผมจะต้อง
กลับไปบอกโมคคัลลานะสหายที่ให้สัญญากันไว้แล้ว จะพากันไปเฝ้าพระบรมศาสดา

ครั้นพระอัสสชิเถระไปแล้ว สารีบุตรปริพาชก ก็กลับมายังอารามของปริพาชกเล่าเรื่องที่ตนได้พบ
กับพระอัสสชิเถระเจ้า ให้โมคคัลลานะสหายฟังพร้อมกับแสดงโมกขธรรมที่ตนได้บรรลุแล้วให้
โมคคัลลานะฟังด้วย

โมคคัลลานะฟังแล้ว กำหนดพิจารณาตามด้วยปรีชาญาณของตน ก็พลันได้บรรลุธรรมจักษุ
เป็นอริยบุคคล เช่นเดียวกับสารีบุตรปริพาชก แล้วถามสารีบุตรปริพาชกว่า พี่สารีบุตร
เวลานี้พระบรมศาสดาของเราประทับอยู่ที่ใหน ?

ท่านอาจารย์บอกพี่ว่า ประทับอยู่ที่พระเวฬุวันวิหาร
ถ้าเช่นนั้นเราควรรีบไปเฝ้าพระบรมศาสดาดีกว่า

แต่สารีบุตรปริพาชกเป็นผู้มีน้ำใจมากด้วยความกตัญญู หนักในความเคารพครูอาจารย์
จึงกล่าวว่า โมคคัลลานะ พี่ก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน แต่อยากจะไปชวนท่านอาจารย์สัญชัยไปด้วย
ความจริงท่านก็มีปัญญามาก พี่คิดว่าถ้าท่านได้เฝ้าพระบรมศาสดาและได้ฟังธรรมแล้ว
ก็จะได้บรรลุมรรคผลเป็นแน่แท้

โมคคัลลานะปริพาชกตอบว่า ความจริงก็น่าจะเป็นอย่างพี่ว่า แต่โธ่ !
พี่น่าจะรู้ดีว่า ท่านอาจารย์สัญชัย เป็นคนมีทิฎฐิมาก ที่ใหนจะยอมเคารพคนอื่น ที่ใหนจะพอใจรับ
เอาคำสั่งสอนของผู้อื่นมาปฏิบัติ ผมคิดว่า การยอมตนเป็นศิษย์ของคนอื่น คงจะไม่เคยมีอยู่ในห้วง
นึกคิดของท่านเป็นแน่

โมคคัลลานะ ใช่ว่าพี่จะไม่รู้ สารีบุตรปริพาชกเปิดความมีแก่ใจให้โมคคัลลานะสหายฟัง อันธรรมดา
คนถ้ายังไม่รู้ มีใครดีเหนือกว่า ก็ย่อมทรนงตนด้วยมานทิฏฐิทั่วๆกัน แต่เมื่อทราบว่ามีใครดีเหนือกว่า
เกิดขึ้น ความทรนงตัวก็ย่อมจะลดน้อยลงจากความรู้สึกเดิม อีกประการหนึ่งท่านก็เป็นครูอาจารย์
ควรที่เราจะไปนมัสการลาท่านก่อน แล้วถือโอกาสชักชวนทีเดียวถ้าท่านไม่เชื่อ ยังถือตนว่าเป็น
ผู้วิเศษอยู่ เราก็ช่วยอะไรท่านไม่ได้

เอา ! เป็นตกลงความเห็นของพี่ โมคคัลลานะปริพาชกกล่าวอนุวัตรตามความเห็นชอบด้วย
แล้วสองคนก็เข้าไปหาอาจารย์สัญชัย เล่าเรื่องที่ตนทั้งสองมีความเลื่อมใสในธรรมของ
พระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยเห็นว่าเป็นทางให้ถึงความหลุดพ้นโดยชอบจึงอยากจะไปบวช
เป็นภิกษุอยู่ในพุทธสำนักและมีความปรารถนาที่จะชวนท่านอาจารย์ไปด้วย ถ้าท่านอาจารย์
มีความเห็นตามนี้

ทีนั้น สัญชัยปริพาชก เจ้าสำนักฟังถ้อยคำของศิษย์ผู้ใหญ่ทั้งสองตลึงไปสักครู่หนึ่ง
แล้วจึงตอบว่า สารีบุตร โมคคัลลานะ ฉันจะทิ้งสำนักไปตามคำชวนของเธอไม่ได้ดอก
บริษัทบริวารมีมาก ไปไม่ได้จริงๆเธอพากันไปเถิด

สารีบุตร ยังไม่สิ้นความพยายาม จึงได้วอนกล่าวกะอาจารย์สัญชัยต่อไปอีกว่า ท่านอาจารย์
เมื่อมหาชนเขาเลื่อมใสพากันไปยังสำนักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหมดแล้ว จะมีใครมาสำนัก
ท่านอาจารย์เล่า สำนักอาจารย์จะมิว่างเปล่าผู้คนหรือ

สารีบุตร เธอเข้าใจอย่างนั้นรึ อาจารย์สัญชัยท้วงถามพร้อมกับแสดงความรู้สึกในใจ ให้สารีบุตร
และโมคคัลลานะฟังอีกว่า ฉันคิดว่าจะไม่เป็นอย่างที่เธอเข้าใจเป็นแน่ แต่เอาเถอะสารีบุตร
ลองตอบคำถามฉันสักหน่อยถี ฉันคิดว่า ถ้าเธอตอบด้วยความจริงใจตามความคิดเห็นแล้ว
คำตอบของเธอนั้นแหละจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า ความคิดเห็นฉันผิดหรือถูก แล้วอาจารย์สัญชัย
ก็ตั้งปัญหาแก่ศิษย์คนใหญ่ว่า สารีบุตร ในโลกนี้คนฉลาดมาก หรือคนโง่มาก

คนโง่มากขอรับ ท่านอาจารย์ สารีบุตรปริพาชกตอบทันที

สัญชัยยิ้มอย่างมีชัย แล้วพูดแช่มช้าว่า ถูกอย่างสารีบุตรพูด ฉันเองก็นึกอย่างนั้น
และในเมื่อคนโง่มากกว่าคนฉลาดแล้ว อย่างไรสำนักเราจะว่างเปล่าจากผู้คนอย่างสารีบุตรพูดเล่า
สารีบุตร เป็นธรรมดาเหลือเกินว่าคนฉลาดก็ย่อมจะไปหาคนฉลาด และคนโง่ก็ย่อมจะไปหาคนโง่
เหมือนฝูงโคก็ย่อมจะไปอยู่รวมกับโค ฝูงม้าก็ย่อมจะไปอยู่รวมกับม้า สารีบุตร โมคคัลลานะ
เป็นคนฉลาดมีสติปัญญา ก็พากันไปยังสำนักพระสมณโคดม ส่วนคนที่เหลือนอกนั้นเป็นคนโง่
ก็จะพากันมายังสำนักเรา เมื่อเป็นเช่นนี้สำนักเราก็คงยังหนาแน่นด้วยผู้คน
จะไม่ว่างเปล่าอย่างเธอนึกเป็นแน่

เมื่อสารีบุตรปริพาชกถูกศอกกลับของท่านอาจารย์ ด้วยคำละเมียดละไมในเชิงชั้น โยตั้งใจจะเอา
ชนะด้วยเลห์เหลี่ยมของถ้อยคำข้างเดียวเช่นนั้นก็จนใจ หมดกำลังใจที่มาชักชวนด้วยความ
ปรารถนาดี ด้วยความเคารพอาจารย์ เพราะจิตมุ่งความหลุดพ้นเป็นโลกุตตรจิต จิตสูงใช่วิสัยสามัญ
ส่วนจิตของอาจารย์สัญชัย เป็นจิตสามัญ ต่ำด้วยมานะทิฏฐิ มิได้มุ่งความหลุดพ้นมุ่งความเป็นใหญ่
ติดอยู่ในลาภยศ จึงไปด้วยกันไม่ได้ ครั้นเห็นว่าไม่อาจจะกลับใจท่านอาจารย์สัญชัยได้แล้ว
สองสหายก็ลาอาจารย์พาบริวารของตนในสำนักประมาณ ๕oo คน มุ่งหน้าเดินทางไปเฝ้า
พระบรมศาสดา ยังพระเวฬุวันวิหาร ขณะนั้นพระบรมศาสดาประทับนั่ง ณ พระวิหารใหญ่ในที่ประชุม
พระสงฆ์ทั้งหลายทอดพระเนตรเห็นสารีบุตร โมคคัลลานะสองสหาย กำลังพาบริวารมาเฝ้าแต่ไกล
เช่นนั้นก็ทรงโสมนัสยกพระหัตถ์ชี้ไปพร้อมกับตรัสบอกพระภิกษุทั้งหลายว่า โน่นคู่อัครสาวกซ้ายขวา
ของตถาคตกำลังเดินเข้ามาแล้ว

ครั้นสารีบุตร และโมคคัลลานะสองสหายพาบริวารมาถึงแล้ว ก็เข้าเฝ้าถวายอภิวาทขอประทาน
โอกาสสดับธรรมเทศนา พระบรมศาสดาก็ทรงแสดงสัจจธรรมโปรดปริพาชกทั้งหลาย
ให้บรรลุอรหัตตผลด้วยกันทั้งสิ้น เว้นแต่สารีบุตรและโมคคัลลานะสองคน และประทานอหิภุกขุ
อุปสัมปทาให้อุปสมบทเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนาทั้งสิ้นด้วยกัน

หลังจากอุปสมบทแล้วได้ วัน พระโมคคัลลานะจึงบรรลุพระอรหัตตผล ณ บ้านกัลลวามุตตคาม
แขวงมคธ และอีกวันต่อมา พระสารีบุตรจึงได้บรรลุหัตตผลในยามเช้าแห่งวันมาฆบุรณมีดิถี
พระจันทร์เพ็ญเสวยมาฆฤกษ์ ณ ถ้ำสุกรขาตาข้างภูเขาคิชฌกูฎ แขวงเมืองราชคฤห์
ครั้นพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ ได้บรรลุอริยผลเบื้องสูงแล้ว ก็ได้รับยกย่องจากพระบรมศาสดา
ให้เป็นอัครสาวกซ้ายขวา สมดั่งพระวาจาที่ทรงยกพระหัตถ์ชี้ตรัสบอกภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย ในวันแรก
ที่พาบริวารเข้ามาเฝ้า และสมดั่งปณิธานที่พระเถระเจ้าอัครสาวกทั้งสองได้ตั้งใจไว้แต่อดีตชาติ .

 

จบตำนานพระพุทธรูป ปางชี้อัครสาวก แต่เพียงนี้ .