ปางที่ ๒๒
ปางภัตตกิจ
ลักษณะของพระพุทธรูปปางนี้
อยู่ในพระอิริยาบถนั่งขัดสมาธิ พระหัตถ์ซ้ายประคองบาตรซึ่งวางอยู่บนพระเพลา
พระหัตถ์ขวาหย่อนลงในบาตรเป็นกิริยาเสวย
พระพุทธรูปปางนี้ มีตำนาน ดังนี้
สมัยนั้น มีมาณพคนหนึ่งชื่อ ยสะ เป็นบุตรเศรษฐีในเมืองพาราณสี บิดามารรักใคร่มาก
ปลูกเรือนให้ ๓ ฤดู บำเรอด้วยดนตรีล้วนแต่สตรีประโคม ไม่มีบุรุษเจือปน ค่ำวันหนึ่ง
ยสะมาณพนอนหลับก่อน นางบริวารหลับต่อภายหลัง แสงไฟยังตามสว่างอยู่
ยสะมาณพตื่นขึ้น เห็นนางบริวารนอนหลับ มีอากัปกิริยาพิกลต่างๆไม่เป็นที่ตั้งแห่ง
ความยินดีเหมือนเห็นทรากศพในป่าช้า ยสะเห็นแล้วเกิดความสลดใจ เบื่อหน่ายมากถึงแก่
ออกอุทานว่า "ที่นี่วุ่นวาย ที่นี่ขัดข้องหนอ" ทนดูต่อไปไม่ได้รำคาญใจจึงสวมรองเท้า
พาร่างออกไปให้พ้นจากอารมณ์ที่ไม่ประสงค์เดินเรื่อยไปจนออกประตูเมือง
ตรงไปทางป่าอิสิปตนมฤคทายวันโดยไม่รู้ว่าถึงใหน เพียงแต่รู้สึกว่าสบายใจ
ก็เดินเรื่อยไป จะจัดว่าเป็นวาสนาบารมีของท่านพาไปก็ชอบ
ในเวลานั้นจวนเวลาจะใกล้รุ่ง พระศาสดาเสด็จเดินจงกรมอยู่ในที่แจ้ง
ทรงได้ยินเสียงยสมาณพ ออกอุทานเช่นนั้น เดินมายังที่ใกล้ จึงตรัส
เรียกยสมาณพว่า "ยสะ ที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่ขัดข้อง มานี่เถิด เราจะแสดงธรรมให้ฟัง"
ยสมาณพได้ยินเช่นนั้นก็พอใจ จึงถอดรองเท้าเสีย เข้าไปใกล้ถวายบังคมแล้ว
นั่ง ณ ที่สมควรข้างหนึ่ง พระศาสดาตรัสเทศนาอนุปุพพิกถาฟอกจิตยสมาณพ
ให้ปราศจากมลทินแล้ว ทรงแสดงอริยสัจจ์ ๔ เมื่อจบเทศนาแล้ว
ยสมาณพได้บรรลุโสดาปัตติผล
ฝ่ายมารดายสมาณพ ขึ้นไปบนเรือนไม่เห็นลูกชาย ร้องไห้ บอกให้เศรษฐีผู้สามี
ให้ทราบว่า ลูกหาย ท่านเศรษฐีใช้ให้คนออกติดตามทั้ง ๔ ทิศแม้ตนเองก็ออก
เที่ยวหาด้วย เผอิญเดินไปทางป่าอิสิปตนมฤคทายวันเห็นรองเท้ายสะ จำได้
จึงตามลูกชายเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค
พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงอนุปุพพิกถาและอริยสัจจ์ ๔ โปรดท่านเศรษฐี
เช่นเดียวกับโปรดยสมาณพ เมื่อจบเทศนา ท่านเศรษฐีได้บรรลุโสดาปัติผล
แสดงตนเป็นอุบาสก ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดชีวิต
เป็นอุบาสิสกถึงพระรัตนตรัยคนแรกในโลก ส่วนยสมาณพได้ฟังอนุปุพพิกถา
กับอริยสัจจ์ ๔ ซ้ำอีกครั้ง ได้บรรลุอรหัตตผลเป็นพระอริยบุคคลสูงสุดในพระพุทธศาสนา
ขณะนั้นท่านเศรษฐีผู้บิดา ไม่ทราบว่ายสมาณพเป็นพระอรหันต์จึงกล่าวว่า ยสะ มารดาของเจ้า
กำลังร้องไห้รำพันถึงเจ้าอยู่ เจ้าจงให้ชีวิตแก่มารดาของเจ้าเถิด ยสมาณพยกสายตาที่ทอดอยู่
เบื่องต่ำขึ้นมองดูพระบรมศาสดา ลำดับนั้น พระบรมศาสดาจึงตรัสกะเศรษฐีว่า ดูกรท่านเศรษฐี
บัดนี้ ยสะได้ทรงอรหัตตคุณแล้ว หาควรที่จะไปครองเรือนต่อไปไม่
ท่านเศรษฐีจึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคผู้เจริญ เป็นลาภอันประเสริฐของยสะแล้วพระเจ้าข้า
แล้วทูลอาราธนาว่า ขอพระผู้มีพระภาคและยสะ ไปรับบิณฑบาตรในเรือนของข้าพระองค์ในเช้า
วันนี้เถิด ครั้นท่านเศรษฐีทราบว่าพระผู้มีพระภาคทราบรับอาราธนาแล้ว ก็ถวายบังคมลากลับไปเรือน
แจ้งเรื่องทั้งหมดให้ภรรยาและสะใภ้ทราบพร้อมกับให้จัดอาหารเช้าเพื่อถวายพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วย
เมื่อเศรษฐีทูลพระผู้มีพระภาคกลับไปแล้ว ยสมาณพจึงทราบทูลขออุปสมบทพระบรมศาสดา
ทรงประทานเอหิภิกขุอุปสัมปทาให้อุปสมบทว่า "เอหิ ภิกขุ ท่านจงเป็นภิกษุมาเถิด
ธรรมเรากล่าวดีแล้วท่านจงประพฤติพรหมจรรย์เถิด" เช่นเดียวกับประทานแก่พระปัญจวัคคีย์
แต่ในที่นี้ไม่ตรัสว่า "เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบ" เพราะพระยสะได้ถึงที่สุดทุกข์
คือเป็นพระอรหันต์เสียก่อนแล้ว สมัยนั้น มีพระอรหันต์ขึ้นในโลกเป็น ๗ องค์ ทั้งพระยสะ
ในเวลาเช้าวันนั้น พระศาสดากับพระยสะตามเสด็จ เสด็จไปเรือนเศรษฐี มารดาและภรรยา
ของพระยสะเข้าไปเฝ้า พระองค์ทรงแสดงธรรมอนุปุพพิกถาและอริยสัจจ์ ๔
โปรดให้สตรีทั้งสองบรรลุพระโสดาปัตติผล สตรีทั้งสองแสดงตนเป็นอุบาสิกา
ถึงพระรัตนตรัยตลอดชีวิต สตรีทั้งสองเป็นอุบาสิกาคนแรกในโลก ครั้งถึงเวลา
มารดาบิดาและภรรยาของพระยสะน้อมอาหารอันประณีตเข้าไปถวายโดยเคารพ
ด้วยมือของตน พระศาสดาทรงรับด้วยบาตร แล้วทรงทำภุตตากิจ ฉันอาหารบิณฑบาตร
นั้นแล้วตรัสพระธรรมเทศนาสั่งสอนชนทั้ง ๓ นั้น ให้อาจหาญรื่นเริงในธรรมแล้วเสด็จกลับ
ยังป่าอิสิปตนมฤคทายวัน
พระพุทธจริยาที่ทรงทำภัตตกิจฉันอาหารบิณฑบาตรครั้งนี้ เป็นภุตตากิจที่ทรงทำครั้งแรกในบ้าน
เป็นนิมิตรมงคลอันดีสำหรับผู้นับถือพระศาสนาที่พอใจในการบำเพ็ญทานทั่วไป ทั้งเป็นแบบอย่าง
ให้มีการทำบุญเลี้ยงพระ ฟังเทศน์ในบ้านสืบมาจนบัดนี้ เป็นเหตุให้สร้างพระพุทธรูปปางนี้
เรียกว่า "ปางภัตตกิจ" หรือ " ปางภุตตากิจ"
จบตำนานพระพุทธรูป ปางภัตตกิจ แต่เพียงนี้ .