ปางที่ o๙
ปางมารวิชัย

 

ลักษณะของพระพุทธรูปปางนี้

อยู่ในอิริยาบถนั่งขัดสมาธิ พระหัตถ์ซ้ายหงายวางบนพระเพลา พระหัตถ์ขวาวางที่พระชานุ
นิ้วพระหัตถ์ชี้ลงที่พื้นธรณี  ปางนี้เริ่มนิยมทำพระรัศมีบนพระเศียรแล้ว

พระพุทธรูปปางนี้ มีตำนาน ดังนี้
ซึ่งได้มีตำนานพระพุทธเจ้ารูป ปางรับหญ้าคา ซึ่งเป็นปางที่ o๘ รวมอยู่ด้วย
มีเนื้อความติดต่อกัน ดังนี้

ครั้นพระมหาบุรุษพุทธางกูรเจ้า ทรงเห็นถาดทองลอยทวนกระแสน้ำสมตามอธิษฐานจิต
เป็นนิมิตรอันดีเช่นนั้น ก็เพิ่มความแน่พระทัยว่าจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้า
โดยหาความสงสัยมิได้ ก็ทรงโสมนัสเสด็จมายังสาลวันริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ประทับพัก
พระกายที่ภายใต้ร่มไม้สาลพฤกษ์ พอเวลาใกล้สายัณห์ตะวันบ่าย ก็เสด็จออกจากหมู่ไม้สาละ
ที่พักกลางวัน เสด็จดำเนินไปสู่ร่มไม้อสัตถโพธิพฤกษ์ พบโสตถิยพราหมณ์ในระหว่างทาง
โสตถิยพราหมณ์เลื่อมใส น้อมถวายหญ้าคา กำ

พระมหาบุรุษทรงรับหญ้าคาแล้ว เสด็จไปยังร่มไม้อสัตถะในด้านปราจีนทิศ ทรงวางหญ้าคา
กำนั้น ลงที่ควงไม้อสัตถะนั้น แล้วอธิษฐานว่า ถ้าอาตมะจะได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว
จงเกิดเป็นรัตนบัลลังก์แก้วขึ้นรองรับพระสัพพัญญุตญาณในที่นี้ ทันใดนั้นบัลลังก์แก้วอันวิจิตรงาม
ตระการ ก็บันดาลผุดขึ้นสมดังพระทัยประสงค์ ควรจะอัศจรรย์ยิ่งนัก

ต่อนั้น พระมหาบุรุษก็เสด็จขึ้นประทับบนรัตนบัลลังก์ หันพระปฤษฎางค์เข้าข้างต้นโพธิพฤกษ์
บ่ายพระพักตร์สู่ทิศตะวันออก ทรงคู้พระเพลาขัดสมาธิ ตั้งพระกายตรงดำรงพระสติมั่นด้วย
อานาปนสติสมาธิภาวนา แล้วออกพระโอฐดำรัสพระสัตยาธิษฐานบารมีว่า ถ้าอาตมะไม่พ้นอาสวกิเลส
ตราบใดถึงแม้มาตรว่า หฤทัย เนื้อ หนังจะแห้งเหือด ตลอดถึงเลือดและมันข้นจนทั่วสรีรกาย
อาตมะก็จะมิทำลายสมาธิบัลลังก์อันนี้ จะพยายามให้บรรลุเสวยพุทธาภิเษกสมบัติให้จนได้
ตั่งพระทัยมั่นหมายพระสัพพัญญุตญาณ

ครั้งนั้น เทพยดาและพรหมทุกสถาน มีท้าวสหัมบดีพรหมและท้าวมฆวานเป็นต้น
ก็พากันชื่นชมโสมนัส มีหัตถ์ทรงเครื่องสักการบูชาบุบผามาลัยมีประการต่างๆ พากันมาสโมสร
สันนิบาตห้อมล้อม โห่ร้องซ้องสาธุการบูชาพระมหาบุรุษสุดที่จะประมาณเต็มตลอดมงคลจักรวาลนี้

ครั้งนั้น พญามารวัสวดี ได้สดับสัททสำเนียงเสียงเทพเจ้าบรรลือลั่นโกลาหล จึงดำริว่าหน่อพระพุทธางกูร
จะล่วงพ้นวิสัยแห่งอาตมะ เป็นการสูญเสียศักดิ์ อันน่าอัปยศอดสูอย่างยิ่ง ควรอาตมะจะไปทำอัตราย
ให้พระองค์ทรงลุกหนีไปให้พ้นจากบัลลังก์ อย่าให้พระองค์ล่วงพ้นวิสัยไปได้ พญามารมีความพิโรธ
ด้วยกำลังอิสสาจิตครอบงำสันดาน จึงร้องอุโฆษณาการให้พลเสนามารทั้งสิ้นมาประชุมกันพร้อมด้วย
สรรพาวุธและสรรพวาหนะอันแรงร้ายเหลือที่ประมาณ เต็มไปด้วยคัคนานต์ท้องฟ้า
พญาวัสวดีขึ้นช้างคีรีเมขล์ นิรมิตรมือหนึ่งพันมือถืออาวุธพร้อมสรรพ นำกองทัพมารอันแสนร้ายเหาะมา
โดยนภาลัยประเทศ เข้าล้อมเขตบัลลังก์รัตน์ของพระมหาบุรุษไว้อย่างแน่นหนา

ทันใดนั้น บรรดาเทพเจ้าที่พากันมาแวดวงถวายสักการบูชาหน่อพระชินศรีอยู่ต่างก็มีความกลัว
พากันหนีไปยังขอบจักรวาล ทิ้งให้พระองค์ทรงต่อสู้กับพญามารแต่พระองค์เดียว

เมื่อพระมหาบุรุษพุทธางกูรทรงเปล่าเปลี่ยวเหลียวหาผู้จะช่วยมิได้ จึงตรัสเรียกทวยทหารของพระองค์
๓o เหล่า กล่าวคือ พระบารมี ๓o ทัศ ด้วยพระคาถาดำรัสว่า อายนฺตุ โภนฺโต อิธ ทานสีลา เป็นอาทิ
ความว่า มาเถิดพวกท่านทั้ง ๓o กอง พร้อมกันจับอาวุธรบกับหมู่มารในบัดนี้ ครั้งนั้นบารมีธรรม ๓o ประการ
ต่างสำแดงกายให้ปรากฎดุจทหารเกล้า ถืออาวุธพร้อมที่จะเข้าประยุทธ์ชิงชัยกับเสนามาร
รอพระบรมโองการประทานโอกาสอยู่เท่านั้น

เมื่อพญามารวัสวดี เห็นพระมหาบุรุษทรงประทับนิ่งไม่หวั่นไหวแต่ประการใด
ก็พิโรธสั่งให้เสนามารรุกเข้าทำอันตรายหลายประการจนหมดฤทธิ์บรรดาสรรพวุธ ศัตรา ยาพิษที่พุ่งซัดไป
ก็กลายเป็นบุบผามาลัยบูชาพระองค์จนสิ้น ครั้งนั้นพญามารวัสวดีจึงตรัสกะพระมหาบุรุษด้วยสันดานพาลว่า
สิทธัตถะกุมาร บัลลังก์แก้วนี้เป็นของเรา เกิดเพื่อบุญเรา ท่านเป็นคนไม่มีบุญ ไม่ควรจะนั่ง
จงลุกไปเสียโดยเร็ว

พระมหาบุรุษพุทธางกูรเจ้าก็ตรัสตอบว่า "ดูกรพญามาร บัลลังก์แก้วนี้เกิดขึ้นด้วยบุญของอาตมะ
ที่ได้บำเพ็ญมาแต่อสังเขยยกัปป์จะนับจะประมาณมิได้ ดังนั้นอาตมะผู้เดียวเท่านั้นสมควรจะนั่ง
ผู้อื่นไม่สมควรเลย"

พญามารวัสวดีทรงโต้แย้งว่า ที่พระมหาบุรุษรับสั่งมานั้นไม่เป็นความจริง ให้พระองค์หาพยาน
มายืนยันว่า พระองค์ได้บำเพ็ญกุศลมาจริง ให้ประจักษ์เป็นสักขีพยานในที่นี้

เมื่อพระมหาบุรุษไม่เห็นผู้อื่นใด ใครจะกล้ามาเป็นพยานในที่นั้นได้ จึงตรัสเรียก นางวสุนธราเจ้า
แห่งธรณีว่า ดูกร วสุนธรา นางจงมาเป็นพยาน ในการบำเพ็ญกุศลของอาตมะในกาลบัดนี้ด้วยเถิด .

ลำดับนั้น นางวสุนธรา เจ้าแม่ธรณีก็ปรากฎกายทำอัญชลีถวายอภิวาทแล้วเปล่งวาจาประกาศให้
พญามารทราบว่า พระมหาบุรุษได้บำเพ็ญบุญกุศลมามากมายเหลือที่จะนับ แม้แต่เพียงน้ำกรวด
ที่ข้าพเจ้าเอามวยผมรองรับไว้บนเศียรเกล้า ก็มีมากพอจะถือเอาเป็นหลักฐานได้
นางวสุนธรากล่าวแล้ว ก็บรรจงหัตถ์อันงามปล่อยมวยผม บีบน้ำกรวดที่สะสมไว้ แต่เอนกชาติ
ให้ไหลออกมาเป็นทะเลหลวง ท่วมทับเสนามารทั้งปวงให้จมลงวอดวาย กำลังน้ำได้ซัด
ช้างคีรีเมขล์ ให้ถอยร่นลงไปติดขอบจักรวาล

ครั้งนั้น พญามารตกตะลึงเห็นเป็นอัศจรรย์ ด้วยมิเคยเห็นมาแต่กาลก่อนก็ประนมหัตถ์ถวายมนัสการ
ยอมปราชัยพ่ายแพ้บุญบารมีของพระมหาบุรุษแล้วก็อันตรธานหนีไป ให้พระมหาบุรุษทรงมารวิชัย
กำจัดมารให้พ่ายแพ้ได้เด็ดขาด ตั้งแต่เวลาเย็นพระอาทิตย์ยังมิทันอัสดงคต ด้วยพระไตรทศบารมี .

 

จบตำนานพระพุทธรูป ปางมารวิชัย แต่เพียงนี้ .