ปางที่ o๔
ปางทรงสุบิน

ลักษณะของพระพุทธรูปปางนี้

อยู่ในพระอิริยาบถนอนตะแคงข้างขวา(สำเร็จสีหไสยา)
พระหัตถ์ซ้ายทอดทาบไปตามพระกาย พระหัตถ์ขวาแนบกับพื้นยกหลังพระหัตถ์ขึ้นแนบพระหนุ (คาง)
หลับพระเนตร เป็นกิริยาบรรทมหลับ

พระพุทธรูปปางนี้ มีตำนาน ดังนี้

เมื่อพระมหาบุรุษพุทธางกูร บรมโพธิสัตว์เจ้า ทรงเลิกละทุกกรกิริยา เปลี่ยนมาทำความเพียรทางจิต
โดยทรงเปรียบเทียบอุปมา ข้อ ที่พระองค์ไม่เคยสดับและไม่เคยดำริมาก่อนเลย ด้วยพระปรีชา
ญาณของพระองค์อย่างแจ่มแจ้งว่า

สมณพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ซึ่งยังมอได้หลีกออกจากกาม ยังพอใจรักใคร่ในกามอยู่
ยังละกามไม่ได้ ยังสงบระงับใจไม่ได้ สมณพราหมณ์เหล่านั้น แม้จะพยายามทำความเพียร
ในทางปฏิบัติให้เข็มแข็งทนทุกข์ทรมานเพียงใดๆก็ตาม ย่อมจะตรัสรู้ไม่ได้ เหมือนไม้สดที่แช่น้ำอยู่
บุคคลเอามาสีให้เกิดไฟ ย่อมจะไม่ได้ไฟเป็นแน่แท้ ด้วยไฟจะไม่เกิด ต้องเหน็ดเหนื่อยเปล่า
เพราะไม้สดแถมแช่น้ำอีกด้วย

อีกข้อหนึ่ง สมณพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง แม้หลีกออกจากกามแล้ว แต่ยังพอใจรักใคร่ในกาม
ยังละกามไม่ได้ ยังสงบระงับใจไม่ได้ สมณพราหมณ์เหล่านั้นแม้จะพยายามทำความเพียรใน
ทางปฏิบัติให้เข้มแข็งทนทุกข์ทรมานเพียงใดๆก็ตามก็ย่อมจะตรัสรู้ไม่ได้ เหมือนไม้สดแม้จะ
ไม่ได้แช่น้ำ บุคคลจะเอามาสีให้เกิดไฟ ก็ย่อมจะไม่ได้เกิดไฟแน่แท้ ด้วยไฟจะไม่เกิด
ต้องเหน็ดเหนื่อยเปล่า เพราะไม้ยังสดอยู่

อีกข้อหนึ่ง สมณพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง หลีกออกจากกามแล้ว ละความพอใจในกามได้
ทำใจให้สงบระงับดีแล้ว เมื่อสมณพราหมณ์เหล่านั้นได้พยายามทำความเพียรในทางปฏิบัติ
จะได้รับทุกข์ทรมาน หรือหาไม่ก็ตาม ก็ย่อมจะตรัสรู้ได้ เหมือนไม้แห้ง ที่ไม่ได้แช่น้ำ
บุคคลอาจเอามาสีให้เกิดไฟได้เป็นแน่แท้ เพราะเป็นของแท้ ทั้งอยู่ในที่แห้งอีกด้วย

อุปมาทั้ง ๓ ข้อนี้ ได้เป็นกำลังสนับสนุนพระหฤทัยให้พระมหาบุรุษพุทธางกูรเจ้า
ทรงมั่นหมายในการทำความเพียรทางใจว่า จะเป็นทางให้พระองค์ได้บรรลุพระสัพพัญญุตญาณ
โดยแน่แท้

ฝ่ายพระปัจจวัคคย์ภิกษุ ผู้มีความนิยมทุกกรกิริยา เลื่อมใสในลัทธิทรมานกายให้ลำบาก
ว่าเป็นทางที่จะตรัสรู้ได้ จงพากันมาเฝ้าพระมหาบุรุษ เมื่อเห็นพระมหาบุรุษทำความเพียร
ในทุกกรกิยาอย่างตึงเครียด เกินกว่าสามัญชนจะทำได้เช่นนั้น ก็ยิ่งเพิ่มความเลื่อมใส
มั่นใจว่าพระองค์จะต้องได้ตรัสรู้โดยฉับพลันและทรงพระเมตตาประทานธรรมเทศนา
โปรดตนให้ตรัสรู้บ้าง แต่ครั้นเห็นพระมหาบุรุษทรงเลิกละทุกกรกิริยาที่ประพฤติมาแล้ว
และเห็นร่วมกันว่า บัดนี้พระองค์คลายความเพียร เวียนมาเพื่อความเป็นผู้มักมากเสียแล้ว
ก็เกิดเบื่อหน่ายในอันที่จะปฏิบัติบำรุงอีกต่อไป ด้วยเห็นว่าพระองค์คงจะไม่สามารถ
บรรลุธรรมวิเศษอย่างใดอย่างหนึ่ง จึงพากันหลีกหนีไปเสียจากที่นั้น
ไปอยู่ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี

พระมหาบุรุษพุทธางกูรเจ้า ได้ทรงบำเพ็ญเพียรทางจิตมาด้วยดีตลอดเวลา
จนถึงราตรีวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน เวลาบรรทมหลับ ทรงพระสุบินเป็นบุพพนิมิตรมหามงคล
ประการ คือ

๑. ทรงพระสุบินว่า พระองค์ทรงผทมหงายเหนือพื้นปฐมพี พระเศียรหนุนภูเขาหิมพานต์
พระหัตถ์ขวาและพระบาททั้งคู่หยั่งลงในมหาสมุทรทิศใต้

๒. ทรงพระสุบินว่า หญ้าแพรกเส้นหนึ่งออกจากพระนาภี สูงขึ้นไปจนถึงท้องฟ้า

๓. ทรงพระสุบินว่า หมู่หนอนทั้งหลาย สีขาวบ้างดำบ้างเป็นอันมาก ไต่ขึ้นมาแต่พื้นพระบาท
ทั้งคู่ เต็มพระชงฆ์ และไต่ขึ้นมาถึงพระชานุมณฑล

๔. ทรงพระสุบินว่า ฝูงนก จำพวก มีสีต่างๆกัน คือ สีเหลือง เขียว แดง ดำ บินมาแต่ทิศทั้ง
ลงมาจับแทบพระบาทแล้วก็กลับกลายเป็นสีขาวไปสิ้น

๕. ทรงพระสุบินว่า เสด็จขึ้นไปเดินจงกรม บนยอดภูเขาอันเต็มไปด้วยอาจม
แต่อาจมนั้นมิได้เปรอะเปื้อนพระยุคลบาท

ในพระสุบินทั้ง ๕ ข้อนั้น มีคำอธิบายทำนายว่า

ข้อ ๑. พระมหาบุรุษเจ้าจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้เลิศในโลกทั้ง

ข้อ ๒. พระมหาบุรุษเจ้าจะได้ทรงประกาศสัจจธรรม เผยมรรค ผล นิพพาน แก่เทพยาและมนุษย์ทั้งมวล

ข้อ ๓. คฤหัสถ์ พราหมย์ทั้งหลาย จะเข้ามาสู่สำนักของพระองค์เป็นอันมาก

ข้อ ๔. ชาวโลกทั้งหลาย คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทย์ เมื่อมาสู่สำนักของพระองค์แล้ว
จะรู้ถึงธรรมอันบริสุทธิ์หมดจดผ่องใสไปสิ้น

ข้อ ๕. ถึงแม้พระองค์จะสมบูรณ์ด้วยสักการะวรามิส ที่ชาวโลกทุกทิศน้อมถวายด้วยความเลื่อมใส
ก็มิได้มีพระทัยข้องอยู่ให้เป็นมลทินแม้แต่น้อย ครั้นพระมหาบุรุษเจ้า ตื่นผทมแล้ว ก็ทรงดำริถึงข้อความ
ในพระมหาสุบินทั้งนั้น แล้วทรงทำนายด้วยพระปรีชาญาณของพระองค์เอง ว่าจะได้ตรัสรู้
เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นแน่แท้ ก็ทรงเบิกบานพระทัย ครั้นได้ทรงทำสรีรกิจ
สะสรงพระกายหมดจดแล้ว ก็เสด็จมาประทับนั่งที่ร่มไม้นิโครธพฤกษ์
ในยามเช้าแห่งวันเพ็ญวิสาขปุณณมีดิถีกลางเดือน ปีระกา .


จบตำนานพระพุทธรูป ปางทรงสุบิน แต่เพียงนี้
.