ปางที่ o๒
ปางปัจจเวกขณ์
ลักษณะของพระพุทธรูปปางนี้
อยู่ในพระอิริยาบถนั่งขัดสมาธิ พระหัตถ์ซ้ายประคองบาตรที่วางอยู่บนพระเพลา
พระหัตถ์ขวายกขึ้นป้องเสมอพระอุระทอดพระเนตรลงต่ำ
พระพุทธรูปปางนี้ มีตำนาน ดังนี้
เมื่อพระสิทธัตถะบรมโพธิสัตว์ทรงอธษฐานเพศเป็นบรรพชิตแล้ว จึงดำรัสสั่งนายฉันนะอำมาตย์ว่า
เธอจงเป็นธุระนำพาอาภรณ์ของฉันกลับเข้ายังกบิลพัศดุ์ กราบทูลพระชนกและราชมาตุจฉาตลอด
ขัตติยสกุล ให้ทรงทราบเหตุทุกประการ อย่าให้ทรงทุกข์โทมนัสถึงฉัน จงเสวยภิรมย์ราชสมบัติให้
เป็นสุขทุกอิริยาบถเถิด เมื่อฉันได้บรรลุพระสัพพัญญุตญาณแล้ว จึงจะไปเฝ้า
จงกราบทูลข่าวสารด้วยประการฉะนี้
นายฉันนะอำมาตย์รับราชโองการแล้ว ก็ถวายบังคมลาแทบพระยุคลบาทมิอาจกลั้นโศกาอาดูรได้
ด้วยมิิอยากจะจากไปด้วยความเสน่หาอาลัยเป็นที่ยิ่ง ทั้งรู้สึกว่าเป็นโทษหนัก ที่ทอดทิ้งพระสิทธัตถะ
ไว้พระองค์เดียว แต่ก็มิอาจจะขัดกระแสรับสั่งได้ จำต้องจากพระองค์ไปด้วยความสลดใจสุดจะประมาณ
นำเครื่องอาภรณ์ของพระบรมโพธิสัตว์เจ้าพร้อมกับม้ากัณฐกะกลับพระนครกบิลพัศดุ์
พอเดินทางไปได้ชั่วสุดสายตาเท่านั้น ม้ากัณฐกะก็ล้มลงขาดใจ ด้วยความอาลัย
ในพระบรมโพธิสัตว์เจ้าสุดกำลัง
เมื่อนายฉันนะกลับถึงพระนครแล้ว ก็แจ้งข่าวแก่ชาวเมืองที่ตามมามุงถามข่าว และอำมาตย์ผู้ใหญ่
ตลอดจนเข้่าเฝ้าพระเจ้าสุทโธทนะถวายเครื่องอาภรณ์ของพระบรมโพธิสัตว์
และกราบทูลความตามที่พระบรมโพธิสัตว์ทรงสั่งมาทุกประการ
ครั้นพระราชบิดา พระมาตุจฉา พระนางพิมพา ตลอดขัตติยวงศ์ราชได้สดับข่าวก็ค่อยคลายความโศกเศร้า
และต่างก็ตั้งหน้าคอยสดับข่าวตรัสรู้พระสัมโพธิญาณของพระบรมโพธิสัตว์เจ้าสืบไป
ตามคำพยากรณ์ของอสิตดาบสและพราหมณ์ทั้งหลายทูลถวายไว้แต่ต้นนั้น
ส่วนพระโพธิสัตว์เจ้า หลังแต่ทรงบรรพชาเพศแล้ว เสวยบรรพชาสุขอยู่ ณ ป่าไม้มะม่วงตำบลหนึ่ง
มีนามว่า อนุปิยอัมพวัน เว้นเสวยพระกะยาหาร ถึง ๗ วัน ครั้นวันที่ ๘ จึงเสด็จเข้าไปบิณฑบาตร
ในกรุงราชคฤห์ โดยกิริยาสงบอยู่ในอาการสังวรควรแก่ภาวะของสมณะเป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใส
ของทุกคนที่ได้เห็น เมื่อได้อาหาร๓ัตรพอควรแก่ยาปนะมัตแล้ว ก็เสด็จกลับ โดยทางประตูที่แรก
เสด็จเข้าไป ตรงไปยังมัณฑวะบรรพต อันมีหน้าผาเป็นที่ร่มเย็นควรแก่สมณวิสัย
ประทับนั่งแล้วทรงปรารภจะเสวยอาหารในบาตร ทอดพระเนตรเห็นบิณฑาหารในบาตร
ไม่สะอาด ไม่ปราณีต หากลิ่นรสอันจะชวนให้บริโภคสำหรับคนที่อดอาหารมาตั้ง ๗ วัน
เช่นกับพระองค์ก็ไม่ได้ เป็นอาหารเลวที่พระองค์ไม่เคยเสวยมาแต่ก่อน
ก็บังเกิดปฏิกูลน่ารังเกียจเป็นอันมาก เสวยไม่ได้
ลำดับนั้น พระองค์จึงตรัสสอนพระองค์เองว่า สิทธัตถะเอย ตัวท่านบังเกิดในขัตติยสุขุมาลชาติ
เคยบริโภคอันปรุงแต่งด้วยสุคนธชาติโภชนสาลี ทั้งประกอบด้วยสูปพยัญชนะ มีรสอันเลิศต่างๆ ไฉน
ท่านจึงไม่รู้สึกตนว่า บัดนี้ท่านเป็นบรรพชิตอยู่ในรูปนี้ และเที่ยวขอเขาโดยอาการของสมณะที่นิยม
เรียกว่า บิณฑบาตร แล้วอย่างไรท่านถึงจะได้อาหารอันสะอาดประณีตมาแต่ที่ใดเล่า สิทธัตถะ บัดนี้
ท่านควรจะคิดอย่างไรกับอาหารที่ได้มานี้ ครั้นให้โอวาทแก่พระองค์ฉะนี้แล้ว ก็ทรงมนสิการพิจารณา
อาหารบิณฑบาตร ด้วยธาตุปัจจเวกขณ์ และปฏิกูลปัจจเวกขณ์
ด้วยพระปรีชาญาณว่า ยถา ปจฺจยํ ปวตฺตมานํ ธาตุมตฺตเมเวตํ เป็นอาทิ ด้วยพระสติดำรงมั่นความว่า
สรรพสิ่งทั้งหมด ย่อมเป็นไปตามปัจจัยที่ปรุงแต่งขึ้น เช่นเดียวกันเป็นต้น แล้วทรงเสวยอาหารบิณฑบาตร
นั้นโดยปราศจากความรังเกียจ ดุจเทพเจ้าดื่มอมฤตรส และทรงกำหนดในพระทัยว่า
ตั้งแต่ทรงผนวชมาได้ ๘ วัน เพิ่งได้เสวยภัตตาหารวันนี้ .
จบตำนานพระพุทธรูป ปางปัจจเวกขณ์ แต่เพียงนี้ .