03

คำชวนอ่าน   

หลายท่านได้เรียกร้องถามหา ถึงพระธรรมเทศนาของหลวงปู่ฯ ใคร่อยากจะได้ฟังได้อ่าน   อาตมาภาพ ขอสารภาพตามความเป็นจริงว่าธรรมเทศนาหรือโอวาทของหลวงปู่นั้นเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง  ทั้งนี้ี้เนื่องจาก ท่านไม่เคยเทศน์เป็นกัณฑ ์ๆ หรือแสดงเป็นเรื่องราวยาวๆ เพียงแต่เมื่อสอนภาวนา หรือกล่าวตักเตือนลูกศิษย์ หรือตอบคำถามตลอดถึง สนทนากับพระเถระอื่น ๆ  หลวงปู่ก็จะกล่าวอย่างสั้น ๆ ด้วยความระมัดระวัง ยกข้อธรรมะ มากล่าวอย่างย่อ ๆ เท่านั้นเอง นอกจากนี้ท่านไม่เคยแสดงในพิธีการงานใดอีกเลย  เพื่อเป็นการสนองความต้องการ แก่ท่านที่สนใจในคติธรรมคำสอนของหลวงปู่ อาตมาภาพจึงพยายามรวบรวมธรรมะสั้นๆ ทั้งที่เป็นสัจธรรมล้วนหรือ เป็นคำสอน คำเตือน และธรรมที่ท่าน  กล่าวตอบคำถามของผู้ถาม ตลอดถึงพระพุทธพจน์บางตอน จากพระไตรปิฎก ที่หลวงปู่ชอบยกขึ้นมาปรารภให้ฟังเสมอ ๆ เพราะได้อยู่กับหลวงปู่มาเป็นเวลายาวนานตลอดอายุขัยของท่าน จากที่เคยได้บันทึกไว้บ้าง หรือจำไว้บ้าง พร้อมเล่าถึงเหตุการณ์สถานที่ และบุคคลที่เกี่ยวข้องเพื่อเข้าใจได้ง่าย หรือชวนอ่านได้บ้าง รวมไว้ในหนังสือเล่มนี้เป็นครั้งแรก สิ่งที่น่าสังเกตและน่าอัศจรรย์อย่างหนึ่ง คือหลวงปู่มีปกติเป็น ผู้ไม่พูด หรือพูดน้อยที่สุด แต่มีปฏิภาณไหวพริบเร็วฉับไวมาก และไม่มีผิดพลาด พูดสั้นย่อ แต่อมความหมายไว้ ้อย่างสมบูรณ์ คำพูดของท่านแต่ละประโยคมีความหมายและเนื้อหาจบลงโดยสิ้นเชิง เหมือนหนึ่งสะกดจิตผู้ฟังหรือ ผู้ถามให้ฉุกคิดอยู่เป็นเวลานาน แล้วก็ต้องใช้ความตริตรองด้วยปัญญาอย่างลึกซึ้ง ฯ อนึ่ง ท่านผู้อ่านอาจสงสัยว่า  ข้อธรรมะของหลวงปู่ในเล่มนี้เห็นมีทั้งธรรมะแบบธรรมดาก็มี แบบชวนขบขันก็มี และแบบสัจธรรมล้วนก็มี ทำไมจึง ไม่เรียงลำดับให้ผู้อ่านได้อ่านจากง่ายไปหายาก หรือจากต่ำไปหาสูง เป็นต้น  ที่ไม่เรียงลำดับไว้เช่นนั้นก็เพราะว่า ข้อความของธรรมะและเรื่องนั้นมีใจความจบลงเฉพาะหน้าแต่ละหน้าอยู่แล้ว และถือว่าเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศ ทางความคิดไปในตัวด้วย หรือหากเป็นการไม่เหมาะสมประการใด โดยเป็นการบังอาจเกินควร หรือผิดผลาดบกพร่อง ประการใด    ขอท่านผู้คงแก่เรียนทั้งหลาย ได้เมตตาอภัยแก่อาตมาผู้มีปัญญาอันน้อยนิดนี้ด้วยเถิด

พระโพธินันทมุนี

04 

ธรรมะปฏิสันถาร   

            เมื่อวันที่ ๑๘ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๒๒ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พร้อมด้วย  สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จเยี่ยมหลวงปู่เป็นการส่วนพระองค์ เมื่อทั้งสองพระองค์ทรงถามถึงสุขภาพอนามัย และการอยู่สำราญ แห่งอิริยาบถของหลวงปู่ ตลอดถึงทรงสนทนาธรรมกับหลวงปู่แล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชปุจฉาว่า

            “หลวงปู่การละกิเลสนั้น ควรละกิเลสอะไรก่อน”

            หลวงปู่ถวายวิสัชนาว่า

“กิเลสทั้งหมดเกิดรวมอยู่ที่จิต ให้เพ่งมองดูที่จิต อันไหนเกิดก่อน ให้ละอันนั้นก่อน”  

  หลวงปู่ไม่ฝืนสังขาร  

            ทุกครั้งที่ล้นเกล้าฯ ทั้งสองพระองค์เสด็จเยี่ยมหลวงปู่ หลังจากเสร็จพระราชกรณียกิจ ในการเยี่ยมแล้ว เมื่อจะเสด็จกลับทรงมีพระราชดำรัสคำสุดท้ายว่า 

           “ขออาราธนา หลวงปู่ให้ ดำรงขันธ์อยู่เกินร้อยปี เพื่อเป็นที่เคารพนับถือของปวงชนทั่วไป หลวงปู่รับได้-ไหม” ทั้งๆ ที่พระราชดำรัสนี้เป็นสัมมาวจีกรรม ทรงประทานพรแก่หลวงปู่โดยพระราชอัธยาศัย หลวงปู่ก็ไม่กล้ารับ และไม่อาจฝืนสังขาร จึงถวายพระพรว่า            

            “อาตมาภาพรับไม่ได้หรอก แล้วแต่สังขารเขาจะเป็นไปของเขาเอง”   

 ปรารภธรรมะเรื่องอริยสัจสี่  

            พระเถระฝ่ายกัมมัฏฐานเข้าถวายสักการะหลวงปู่ในวันเข้าพรรษาปี ๒๔๙๙ หลังฟังโอวาท และข้อธรรมะ อันลึกซึ้งข้ออื่นๆ แล้วหลวงปู่สรุปใจความ อริยสัจสี่ให้ฟังว่า

            “จิตที่ส่งออกนอก                         เป็นสมุทัย 

             ผลอันเกิดจากจิตที่ส่งออกนอก       เป็นทุกข์   

             จิตเห็นจิต                                  เป็นมรรค

             ผลอันเกิดจากจิตเห็นจิต                เป็นนิโรธ”

05

สิ่งที่อยู่เหนือคำพูด  

            อุบาสกผู้คงแก่เรียนคนหนึ่ง สนทนากับหลวงปู่ว่า “กระผมเชื่อว่า แม้ในปัจจุบันพระผู้ปฏิบัติถึงขั้นได้บรรลุ ุมรรคผลนิพพานก็คงมีอยู่ไม่น้อย เหตุใดท่านเหล่านั้นจึงไม่แสดงตนให้ปรากฏเพื่อให้ผู้สนใจปฏิบัติทราบว่าท่านได้ ้บรรลุถึงคุณธรรมนั้นๆ แล้ว เขาจะได้มีกำลังใจและ มีความหวัง เพื่อเป็นพลังเร่งความเพียรในทางปฏิบัติให้เต็มที่”

            หลวงปู่กล่าวว่า

            “ผู้ที่เขาตรัสรู้แล้ว เขาไม่พูดว่าเขารู้แล้วซึ่งอะไร เพราะสิ่งนั้นมันอยู่เหนือคำพูดทั้งหมด”